px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 4 แก่นแท้พลังมนต์ดำ


 

       เจียงอี้จ้องมองไปยังเจียงเป่าเจียงเป่ากลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวดและในขณะที่ทั้งคู่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

       ในทวีปเทียนซิง เกือบทุกคนต่างก็ฝึกฝนวรยุทธ สำนักวรยุทธจำนวนมากมีระบบลำดับชั้นจากต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด

 

       เริ่มตั้งแต่ขอบเขตฉูติ่ง, ขอบเขตจื่อฟู่[1], ขอบเขตเสินโหยว[2] ในแต่ละขอบเขตแบ่งออกเป็นระดับหนึ่งถึงเก้า

 

       นอกจากนี้พื้นฐานความความแข็งแกร่งของแต่ละขอบเขตยังแต่ต่างกันมาก  

 

       คนทั่วไปที่อยู่ในระดับแรกของขอบเขตฉูติ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าหนึ่งตัว พวกเขาสามารถทำลายก้อนหินได้ด้วยการชกเพียงครั้งเดียวและสามารถยกของที่มีน้ำหนักราวๆหนึ่งร้อยสี่สิบสี่จินได้อย่างสบายๆ

 

       ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สองมีพละกำลังเทียบเท่ากับม้าสองตัวซึ่งในขณะเดียวกันก็สามารถยกของที่มีน้ำหนักสองร้อยแปดสิบแปดจินได้

 

       ระหว่างทั้งสองระดับนี้แม้ว่าจะห่างกันเพียงแค่ระดับเดียว แต่ช่องว่างของความต่างของพละกำลังนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว

 

       อย่างไรก็ตามเมื่อเจียงอี้เริ่มโคจรแก่นแท้พลังวรยุทธวารีตระกูลเจียงซึ่งเสริมพละกำลังให้เขาเพียงแค่หนึ่งร้อยสี่สิบสี่จินเท่านั้น

 

       แต่เมื่อมันหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้พลังสีดำจากบทสวดนิรนาม มันก็สามารถระเบิดพลังที่สามารถส่งร่างของเจียงเป่าลอยไกลออกไปถึงสิบห้าเมตร

 

       เจียงอี้สามารถโจมตีได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาฝึกฝนท่วงท่าซึ่งยากที่จะฝึกสำเร็จ ครั้งหนึ่งผู้อาวุโสใหญ่เคยลูบเคราด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นเขาใช้ท่วงท่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว

 

       ในตอนนี้เจียงอี้ยังคงได้รับบาดเจ็บและขาดแคลนแก่นแท้พลัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นไปยังพละกำลัง

 

       อย่างไรก็ตามด้วยการระเบิดพลังอันไม่คาดคิดของเจียงอี้ถึงกลับทำให้ช่วงแขนของเจียงเป่าบิดเบี้ยวจนผิดรูป

 

       คำอธิบายเดียวของเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็คือแก่นแท้พลังทั้งสองได้หลอมรวมเข้ากันอย่างสมบูรณ์ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขา

 

       นอกจากคำอธิบายนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะหาสาเหตุที่สมเหตุสมผลกว่านี้ได้อีก!

 

       มีกฎเกณฑ์อันเข้มงวดสำหรับหลอมรวมสองเทคนิคหรือสองแก่นแท้พลังที่แตกต่างกัน

 

       อย่างน้อยภายในขอบเขตฉูติ่ง การกระทบกันเพียงเล็กน้อยของสองแก่นแท้พลังก็อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้

 

       ผลกระทบที่เกิดจากการหันเหของพลังปราณที่ทำให้แก่นแท้พลังเกิดความโกลาหลและเกิดการระเบิดของตันเทียนได้

 

       การระเบิดของตันเทียนก็หมายถึงจอมยุทธ์ผู้นั้นได้กลายเป็นคนพิการ นี่เป็นความรู้ทั่วไปสำหรับผู้คนในทวีปเทียนซิง

 

       “จะ.. เจียงอี้! เจ้ามันบ้า! ไอ้สารเลว! เจ้ากล้าดียังไงถึงหักแขนข้า! เจ้าจะต้องรับผลที่ตามมา!” เจียงเป่าคำรามด้วยความเดือดดาล

 

       เจียงอี้ถูกดึงออกจากภวังค์ เขาจ้องมองไปยังเจียงเป่าที่กำลังทนทุกข์กับความเจ็บปวดด้วยดวงตาที่แสนเย็นชา

 

       “หึ่ม!!”

 

       เขายังคงรู้สึกโกรธแค้น ในบรรดาผู้ที่ทุบตีเขาเมื่อวาน เจียงเป่าคือผู้ที่ทำร้ายเขารุนแรงที่สุด

       รอยช้ำขนาดใหญ่บนศีรษะก็เป็นฝีมือของเขา นอกจากนี้เจียงเป่ายังเป็นฝ่ายเริ่มลงมือโจมตีเจียงอี้ก่อน

 

       อีกทั้งกระบวนท่าหมัดดาวตกยังเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่ทรงพลังที่สุดของเขา

 

       “มันคงต้องการที่จะล้มข้าให้ได้ก่อนที่ข้าจะทันรู้ตัว… ไม่สิ มันตั้งใจที่จะฆ่าข้าชัดๆ!”

 

       ใบหน้าของเจียงอี้เริ่มแสดงออกถึงความโหดเหี้ยม ตั้งแต่ที่เขาเริ่มลงมือกับเจียงเป่าเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้จนถึงที่สุด

 

       “มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะด่าทอข้าเยี่ยงไร เป็นมันเป็นเพราะวิธีการของเจ้า เจียงเป่า วันนี้ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ!”

 

       เขาโดดขึ้นจากพื้นและกระโจนเข้าใส่เจียงเป่าราวกับอสรพิษ

 

       ทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นกลาง อสรพิษฟาดหาง!

 

       เจียงเป่าไม่คาดคิดเลยว่าชายผู้ถูกเรียกว่าคนไร้ประโยชน์จะเป็นผู้ที่ลงมือทำร้ายเขาอยู่ฝ่ายเดียว!

 

       เขาตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะเดียวกันแขนซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ส่งคลื่นความเจ็บปวดที่แทบจะทนไม่ไหวไหลผ่านไปทั่วร่างกาย

 

       เจียงเป่าสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมด เขาทำได้แค่ปล่อยให้แขนซ้ายของตนห้อยไปมาและกลิ้งหลบบนพื้นเหมือนสุนัขจรจัดเท่านั้น

 

       ฟับบบ!

 

       แม้เจียงอี้จะมีแก่นแท้พลังเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็มีความชำนาญในด้านทักษะสูง

 

       ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเจียงเป่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะปล่อยเขาไป?

 

       เจียงอี้ปลดปล่อยอสรพิษฟาดหางด้วยพละกำลังทั้งหมด ขาของเขากระแทกไปที่หลังของเจียงเป่าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความโหดร้อย

 

       ปัง!

 

       ปัง!

 

       …

 

       หลังจากที่เจียงอี้เตะออกไปเป็นครั้งสุดท้าย เจียงเป่าก็แผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่กลิ้งไถลไปตามพื้นเกือบสี่เมตรก่อนที่จะหยุดลง

 

       เขากัดริมฝีปากด้วยความโกรธแค้น หลังจากที่พยุงตัวเองขึ้นด้วยความทุลักทุเลก็รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

 

       “ฝากไว้ก่อนเถอะ เจียงอี้!!” เจียงเป่าหันหลังกลับมาตะโกนหลังจากที่วิ่งไปไกลลิบแล้ว

 

       “หึ!”

 

       เจี้ยงอี้ไม่ได้ไล่ตามไป ความสนใจของเขาในตอนนี้กลับอยู่ที่ขาของเขา

 

       ก่อนหน้านี่เขาส่งพลังทั้งหมดไปยังลูกเตะแต่ก็ทำได้เพียงแค่ส่งเจียงเป่าไถลไปไกลได้เพียงแค่สี่เมตรเท่านั้น

 

       ซึ่งพลังของมันยังคงขาดไปเมื่อเทียบกับการโจมตีครั้งแรกของเขา พลังของมันใกล้เคียงกับความแข็งแกร่งดั้งเดิมของเขาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาด

 

       เจียงอี้หลับตาลงและเริ่มสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายอย่างแผ่วเบา

 

       ในเวลานี้เส้นลมปราณของเขามีเพียงแค่พลังแก่นแท้สีน้ำเงินจากวรยุทธวารีตระกูลเจียงและไม่หลงเหลือเศษเสี้ยวของแก่นแท้พลังสีดำอีกต่อไป

 

       บางที…

 

       “ดูจากลักษณะของมัน” เจียงอี้พึมพำ “มันจะต้องเป็นเพราะแก่นแท้พลังสีดำไม่เพียงพอ ข้าเพียงแต่พยายามฝึกฝนบทสวดนิรนามหนึ่งชั่วโมงและล้มเลิกเมื่อไม่เห็นถึงผลลัพธ์”

 

       “เศษเสี้ยวของแก่นแท้พลังสีดำที่ข้าบ่มเพาะมีเพียงแค่แขนซ้ายเท่านั้น แต่มันก็ส่งผลให้พลังจากฝ่ามือของข้าสูงกว่ามาตรฐานไปมาก”

 

       “แต่เมื่อใช้กระบวนท่าอสรพิษฟาดหางซึ่งปราศจากพลังของแก่นแท้พลังสีดำ ความรุนแรงของมันก็ลดลงอย่างมาก”

 

       “อ๊ะ… รีบทำงานให้เสร็จดีกว่าแล้วหลังจากนั้นข้าจะได้ศึกษาอย่างละเอียดเสียที!”

 

       ภายในใจของเจียงอี้เต็มไปความความตื่นเต้นที่ไม่สามารถจะอธิบายออกมาได้ อย่างน้อยเขาก็สามารถล้มเจียงเป่าได้อย่างง่ายดาย

 

       แม้ว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับร่างกายซึ่งบ่มเพาะแก่นแท้พลังได้ยากราวกับหอยทาก แต่ในที่สุดเขาก็พบแสงสว่างที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความอัปยศ

 

       ด้วยความเร็วและแม่นยำจากความชำนาญ เจียงอี้ใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงกว่าในการนับจำนวนสมุนไพรในไร่ แม้ว่าจะยังคงมีผลกระทบจากการบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่เขาก็รีบวิ่งลงมาจากเขาด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

       หลังจากที่รายงานหัวหน้าหรง เจียงอี้ก็ตรงไปยังบริเวณลานบ้านแห่งที่ถูกทิ้งร้างและเงียบสงบเหมือนอย่างเคย

 

       ดูแล้วเหมือนว่าเสี่ยวนู๋จะยังไม่กลับมา อย่างไรก็ตามเจียงอี้ไม่ได้สนใจนัก เขากลับเข้าไปในห้องและกระโดดขึ้นไปบนเตียงจากนั้นก็เริ่มนั่งสมาธิ

 

       เขาต้องการที่จะบ่มเพาะพลังจากบทสวดนิรนามต่อจากในฝันและดึงแก่นแท้พลังสีดำออกมาเพื่อลองวิจัย

 

       เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา

 

       เป็นไปตามคาด เขาสามารถสกัดพลังส่วนหนึ่งของแก่นแท้พลังสีดำจากตันเทียนของเขาได้

 

       ผู้ที่บรรลุขอบเขตฉูติ่งสามารถที่จะย้ายจิตเข้าไปในร่าง เจียงอี้เพ่งไปยังแก่นแท้พลังอันลึกลับ

 

       มันดูคล้ายกับเส้นผมที่ยาวเพียงแค่หนึ่งนิ้วและสถิตอยู่ในตันเทียนของเขาอย่างเงียบเชียบ ยิ่งเขามองมันมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งลุ่มหลงมันมากเท่านั้น

 

       เจียงอี้ตื่นเต้นมาก สำหรับเขาแล้ว แก่นแท้พลังนี้ไม่ได้ดูธรรมดาเหมือนกับเส้นผมบางๆอย่างแน่นอน แต่มันคือฟางที่จะช่วยฉุดดึงเขาออกมาจากสถานการณ์บัดซบที่เป็นอยู่

 

       “ขั้นต่อไปคือต้องพยายามหลอมรวมเข้ากับมัน!”

 

       เมื่อเขารู้สึกถึงผลกระทบของการรวมกันของแก่นแท้ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันสองอย่างที่หลอมรวมเข้าด้วยกันเหมือนดั่งพี่น้องฝาแฝดซึ่งทำให้เจียงอี้ยิ้มร่า เขากระโดดขึ้นและกระแทกอย่างแรงลงบนแผ่นหินข้างเตียง

       ปัง!

 

       พื้นดินสั่นสะเทือน กำปั้นซ้ายของเขาทุบเข้าไปยังแผ่นหินซึ่งทำให้มันแยกออกเป็นสองส่วนโดยที่ที่กำปั้นของเขาแทบจะไม่ได้สัมผัสพื้นเบื้องล่าง

 

       "ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมากอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่ ข้าคงจะไม่สามารถแยก แผ่นหินนั้นได้ สำหรับข้าทำเช่นนี้ได้มันก็หมายความว่าพละกำลังของข้าเทียบได้กับม้าสองตัว!”

 

       เจียงอี้ดึงแขนออกมาโดยไม่สนใจแขนเสื้อที่ฉีกขาดและมีรอยขีดข่วนเล็กน้อยที่แขนของเขาขณะที่ตัวของเขาสั่นด้วยความดีใจ

 

       นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของแก่นแท้พลังสีดำ ...

 

       ความแข็งแกร่งของเขาจะได้รับการยกระดับอีกหากเขายังคงสะสมแก่นแท้พลังสีดำมากขึ้นโดยการฝึกฝนบทสวดนิรนามต่อไป?

 

       "บ่มเพาะพลัง! ทดลอง! ข้าต้องฝึกฝนและลองมันอีกสักสองสามครั้ง "

 

       เจียงอี้ส่ายหัวและบังคับไม่ให้ตนเองหัวเราะ หลังจากหลับตา เขาก็นั่งสมาธิและเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง ครั้งนี้เขาทำการบ่มเพาะพลังเป็นเวลาสี่ชั่วโมงก่อนที่จะหยุดลง

      

       "แก่นแท้พลังสีดำสกัดยากเกินไป ข้าแทบจะไม่ได้รับอะไรเลยหลังจากที่ลองถึงหกครั้งในเวลาสี่ชั่วโมง ... "

 

       เจียงอี้เกาหัวของเขาด้วยความหงุดหงิด แต่เขารีบผลักความผิดหวังออกไปอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งและลำเลียงแก่นแท้พลังสีดำไปยังหมัดขวาของเขาเพื่อหลอมรวมกับแก่นแท้พลังน้ำเงินของวรยุทธวารีตระกูลเจียงอีกครั้ง เขาทุบกำปั้นขวาของเขาลงบนแผ่นหินบนพื้น

 

       ปัง!

 

       กำปั้นของเขายังไม่ได้แตะถึงพื้นด้านล่างของแผ่นหิน แต่มันก็แตกอยากสมบูรณ์อีกครั้ง

 

       เจียงอี้ดึงแขนของเขาออกมาและเดินไปรอบ ๆ อย่างมีความสุข ความคิดโผล่ขึ้นมาทันที พลังของแก่นแท้สีดำช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกำปั้นของข้าอย่างมาก มันสามารถใช้ได้กับขาของข้าด้วยไหมนะ ...

 

       เมื่อมองดูสภาพห้องที่เละเทะ เจียงอี้ก็ส่ายหัวแล้วเดินออกไปที่ลานหลังบ้าน เขาส่งแก่นแท้สีดำเข้ามาที่เท้าขวาของเขาแล้วเหยียบลงบนแผ่นหินปูนบนพื้น

 

       ปังง!

 

       แผ่นหินแตกเหมือนก่อนหน้านี้ ขาของเจียงอี้อยู่เหนือพื้นเล็กน้อย พลังเตะของเขาดูเหมือนจะเกินกว่ากำปั้นของเขา!

 

       "โอ้…ถึงเวลาที่จะลองท่าเข่า!"

 

       ปัง!

 

       "ถึงเวลาลองข้อศอก!"

 

       ปัง!

 

       เจียงอี้มีช่วงเวลาที่ดี สิ่งที่เขาต้องการคือการหลอมรวมแก่นแท้พลังทั้งสองและความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นสามเท่า

 

       "ต่อไป ข้าสามารถลองจุดอื่น ๆ ข้าควรลองส่วนหัวดีไหมนะ? แต่ข้ายังไม่เข้าใจทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นกลางอย่างทักษะหัวเหล็กนักแต่ก็คงไม่เป็นไร... "

 

       เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังทั้งสองไปทั่วทั้งร่างกายจากนั้นเขาก็เคลื่อนพวกมันไปยังส่วนหัวของเขาพลังแห่งการผสานที่ผ่านจุดซานจู๋ตรงมุมตาซ้ายของเขา

 

       ทันใดนั้นแสงสีดำก็กระพริบผ่านตาซ้ายของเขา เมื่อเขากระพริบตาอย่างไม่รู้ตัวเขาค้นพบว่าโลกทั้งใบตรงหน้านั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

 

       เจียงอี้จ้องมองไปยังสภาพแวดล้อมที่ชัดเจนและแตกต่างอย่างงุนงง เขาสามารถเห็นขนบนขาของแมงมุมบนผนังอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้นการเคลื่อนไหวของแมงมุมช้าลงราวกับเกือบจะหยุดเคลื่อนไหว

 

"วิเศษจริงๆ!"

 

       เขาปิดตาอย่างรวดเร็วและลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉากตรงหน้านั้น ชัดเจนและชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน   

 

       จากนั้นเขาก็หันหัวไปอีกด้านและจ้องมองไปยังมุมมืดซึ่งไกลออกไป เขามองเห็นแมลงที่มีขนาดเท่าเม็ดข้าวและมีจุดดำกลางหลังซึ่งกำลังคลานเหมือนกับหอยทาก

 

       เจียงอี้ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จู่ๆเขาก็กวาดมองไปทั่วทั้งลานบ้าน ในทำนองเดียวกันฉากข้างนอกก็มีชีวิตชีวาอย่างน่าตกใจ เขาสามารถมองเห็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของยุงที่บินได้อย่างชัดเจนในระยะทางหลายสิบเมตร

 

       “หวี่..”


       ประมาณครึ่งนาทีต่อมาหลังจากกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วและก็ตระหนักว่าตาซ้ายของเขาเริ่มมองสิ่งต่างๆได้ไม่ชัดเจน

 

       เมื่อเขากระพริบตา ทัศนวิสัยก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม คราวนี้เมื่อเขามองไปยังแมงมุมที่อยู่บนแพงก็ไม่สามารถมองเห็นขนบนขาของมันได้อีก

 

       "มันคือแก่นแท้สีดำ! มันต้องเป็นเพราะแก่นแท้สีดำแน่ๆ!"

 

เจียงอี้ตะโกนออกมาอย่างไม่อาจที่จะควบคุมตัวเองได้ เขาพยายามสัมผัสถึงเศษเสี้ยวของแก่นแท้พลังสีดำและในที่สุดมันก็เหือดหายไปแล้ว

 

       แก่นแท้พลังที่เหลืออยู่ที่เส้นลมปราณใกล้กับดวงตาของเขาเหลือเพียงแค่น้ำเงินเท่านั้น

 

       “ แก่นแท้พลังสีดำนี้ช่างน่าอัศจรรย์มันสามารถปรับปรุงการมองเห็นของข้าได้!"

 

       หลังจากที่หยุดหัวเราะด้วยความสำราญใจ เจียงอี้ก็ได้เคลื่อนย้ายเศษเสี้ยวพลังของแก่นแท้พลังสีดำไปยังจุดซานจู๋อีกครั้ง

 

       จริงด้วย ...

 

       โลกทั้งโลกกลับมาแตกต่างจากเดิมและเวลาก็ดูเหมือนจะเดินช้าลง

 

 

       "ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ... "

 

       เจียงอี้รู้สึกดีใจเหมือนเด็กที่เพิ่งค้นพบของเล่นใหม่ เขากวาดสายตาไปทางซ้ายและขวาข้ามห้องไปทางหน้าต่างและที่อื่น ๆ

 

       เขาเข้ามาในโลกใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในขณะที่ยังคงหัวเราะราวกับคนเสียสติ

 

       "ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก! นี่แหละคือสมบัติอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าสวรรค์จะเมตตาข้าบ้างแล้ว!"

 

       พลังของแก่นแท้พลังสีดำจางหายไปอีกครั้งก่อนที่เจียงอี้จะสามารถเพลิดเพลินไปกับการมองเห็นโลกทัศน์ใหม่ๆ

 

       เขาต้องการที่จะลองอีกครั้ง แต่ตระหนักได้ว่าแก่นแท้สีดำที่อยู่ในร่างกายถูกใช้ไปจนหมดแล้ว

 

       เศษเสี้ยวของแก่นแท้สีดำที่เขาใช้เวลาบ่มเพาะถึงสี่ชั่วโมงกลับถูกใช้ไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที

 

       “ฝึก! ต้องฝึกให้มากกว่านี้!”

 

       เจียงอี้สัมผัสดวงตาเบาๆ ภายในใจของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความปลื้มปิติ เขากลับไปนั่งสมาธิและว่างแผนที่จะบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำให้มากขึ้น

 

       ราวสองชั่วโมงต่อมา ...

 

       เขาถูกปลุกด้วยเสียกระแทกของประตู

 

       ปัง!

 

       ประตูบ้านของเขาถูกเปิดโดยหญิงสาวซึ่งสวมชุดที่ทำจากผ้ากระสอบทรายหยาบๆ

 

        ใบหน้าของนางตื่นตระหนกและรีบตะโกนออกไปอย่างร้อนรน

 

       “นายน้อยเจียงอี้! นายน้อยเจียงอี้! ท่านรีบออกมาเร็วเข้า!”

 

       “เสี่ยวนู๋ของท่านกำลังถูกทำร้าย ท่านควรรีบไปช่วยนางก่อนที่นางจะเป็นอะไรไป…!”

 

 

       “เสี่ยวนู๋!”

 

       ร่างของเจียงอี้สั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวราวกับราชสีห์ที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อของมัน

 

       เขาทะยานออกไปทางลานด้านหน้าด้วยความบ้าคลั่ง…

 

 

[1] จื่อฟู่ – ตำหนักม่วง

[2] เสินโหยว – ท่องวิญญาณ

 

 

 

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน