px

เรื่อง : เพลิงพิโรธสวรรค์
บทที่ 3 บทสวดนิรนาม


เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องหยิกขาเพื่อทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ฝันอีกต่อไปเนื่องจากความรู้สึกเจ็บปวดที่สะท้อนจากบาดแผลหลาย ๆ จุดของเขารู้สึกชัดเจนอย่างน่าเชื่อถือ

 

นอกจากนี้ท้องฟ้ายังมืดสนิทและไม่มีผู้อาวุโสในบ้านหรือแม้แต่เสี่ยวนู๋เลย- ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตำราลับที่กองเท่าภูเขาเป็นตั้งๆที่อยู่บนโต๊ะเลย

 

แต่ถ้ามันไม่ใช่ความฝันล่ะ ...

 

เจียงอี้หลับตาของเขาและเพ่งสมาธิไปในความรู้สึกของเขา เขาเห็นสัญลักษณ์และอักษรอันแปลกประหลาดนั่นอีกครั้งหนึ่ง

 

เขาสามารถเห็นตัวอักษรแต่ละตัวชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ พวกมันมีสีดำและเคลื่อนไหวอย่างขะมักเขม้น นี่ไม่ใช่ความคิดจินตนาการของเขาแน่นอน

 

เจียงอี้ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด "โชคดี ... อย่างน้อยตอนนี้ฉันยังไม่ได้ค้นพบผลกระทบเชิงลบ"

 

เจียงอี้จมอยู่ในห้วงความคิดขณะที่นอนอยู่บนเตียงอยู่ครู่หนึ่ง

 

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ขยับร่างกายแล้วจับไปที่ศีรษะของเขา

เมื่อเขายืนยันว่าอักษรสีดำเล็ก ๆ เหล่านั้นอาจไม่เป็นอันตรายต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเขา ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

การถูกกดขี่เป็นเวลาหลายปีในชีวิตทำให้จิตใจของเขาอ่อนแอ

 

ความสามารถของเขาในด้านการทนกับความกดดันนั้นมีมากกว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน

 

“ไม่นะ นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ทำไมข้าถึงโง่เขลานานขนาดนี้? ข้าควรจะจัดการกับบาดแผลของข้าให้ดีก่อนที่เสี่ยวนู๋จะกลับมาที่บ้านและเริ่มตำหนิข้า!”

 

ในขณะนั้นเจียงอี้สลัดความง่วงนอนทั้งหมดออกไป เขารีบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็วก่อนที่จะจุดเทียน

 

หลังจากทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดของร่างกายจากการทายาประมาณยี่สิบหรือสามสิบบาดแผลทั่วทั้งร่าง

 

เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงของเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของบาดแผลต่างๆ คือการใช้ยาทาภายนอกและ "ควบคุม" จากภายใน

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องกินหรือทายาที่จำเป็นและใช้แก่นแท้พลังภายในร่างกายเพื่อสมานแผลของเขาโดยตรง สิ่งนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและพลังชีวิตฟื้นฟูขึ้น

 

ดังนั้นหลังจากใช้ยาภายนอกแล้วเจียงอี้ยังคงต้องฝึกวรยุทธวารีของตระกูลเจียงเพื่อหมุนเวียนแก่นแท้จากขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งและช่วยให้แผลของเขาหายเร็วขึ้น

 

“ความเมตตาเป็นเครื่องหมายเปรียบเสมือนดั่งสายน้ำ น้ำเป็นประโยชน์ต่อทุกสรรพสิ่ง ... ในความกว้างใหญ่ของสวรรค์และโลก ทางเดียวเท่านั้นคือนิรันดร์

เพื่อให้ได้หลักฐานตามกฎเกณฑ์ของสวรรค์เราต้องฝึกฝนตนเองเสียก่อน…เอ๊ะ…ไม่....ผิด…”

 

ถึงแม้ว่าผลของการฝึกวรยุทธของเขาจะถูกจำกัดด้วยอักขระเวทย์มนตร์ แต่เจียงอี้ยังคงฝึกแก่นแท้พลังของเขาอย่างจริงจังและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝน

 

อย่างไรก็ตาม ความคิดอื่นๆของเขาได้ถ่ายพลังของเขาออกมาโดยที่ไม่ตั้งใจไปสู่เส้นทางการไหลเวียนที่ไม่ถูกต้องอยู่หลายครั้ง

 

            โชคดีที่เขาสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากปราณที่ผิดปกติ

 

ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกสับสนจากตัวอักษรสีดำในใจของเขาที่กำลังแหวกว่ายและเคลื่อนไหวไปมาต่อหน้าต่อตาของเขา

 

มันทำให้เจียงอี้ไม่สามารถสงบจิตใจได้

 

“ลืมมันซะ! อืม…ข้าต้องลองทำอย่างไรดี ? ปู่มักจะไม่ให้ข้าฝึกฝนวรยุทธแบบสุ่มก่อนที่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไป ... "

 

ในขณะที่เจียงอี้พูดอักษรสีดำเล็กๆที่เห็นเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาสามารถรู้สึกได้ว่าสิ่งเหล่านี้แตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับกระบวนท่าการฝึกวรยุทธจำนวนมากที่เขาลองตอนที่เขายังเด็กเพื่อเพิ่มแก่นแท้พลังของเขา

 

มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เมื่อความอยากรู้อยากเห็นที่จะทดสอบและความอยากลองเกิดขึ้นในใจของเขา ความปรารถนานั้นก็ลุกเป็นไฟขึ้นมาดั่งไฟป่าที่ไม่สามารถดับได้!

 

นั่นคือสิ่งที่เจียงอี้เป็น หากเขาบอกว่าเขาจะทำ เขาก็จะลงมือทำอย่างแน่นอน!

 

อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ...

 

เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาด้วยความผิดหวัง บทสวดนิรนามนี้สามารถช่วยเขาฝึกฝนแก่นแท้พลังของเขาได้อย่างแท้จริงและวิธีการนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์บางอย่างขึ้น

 

มันโชคไม่ดีที่ความเร็วของการบ่มเพาะแก่นแท้สวรรค์และปฐพีผ่านทางท่วงท่านี้เชื่องช้าเกินไปเมื่อเทียบกับวรยุทธวารีตระกูลเจียงที่เขาบ่มเพาะอยู่

 

"อาจจะเป็นการดีหากใช้วรยุทธวารีของตระกูลเจียงเพื่อรักษาด้วยก็ได้! หืม ?”

 

มันเป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับทวีปเทียนชิงที่เราควรถ่ายโอนกำลังของแก่นแท้พลังประเภทหนึ่งผ่านตันเทียน มิฉะนั้นความแตกต่างของพลังจะสามารถขัดแย้งได้ง่ายและปะปนกัน

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเจียงอี้ได้ถ่ายโอนแก่นแท้พลังที่ได้เห็นจากอักษรในตำราไร้ชื่อนี้ผ่านลมปราณของเขาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกวรยุทธวารีของตระกูลเจียงแทน เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ากระบวนท่าใหม่นั้นเป็นสีดำ

 

จอมยุทธของทวีปเทียนชิงได้ผ่านการฝึกฝนกระบวนท่าที่แตกต่างกันโดยแต่ละกระบวนท่าจะสร้างแก่นแท้พลังของสีที่ต่างกัน

 

สีของแก่นแท้พลังนั้นมักจะเชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆของกระบวนท่า

ตัวอย่างเช่นเมื่อเจียงอี้ฝึกฝนความสามารถของธาตุน้ำผ่านตำราวารีของตระกูลเจียง แก่นแท้พลังคือสีน้ำเงิน สำหรับกระบวนท่าไฟป่าที่เขาฝึกฝนเมื่อตอนที่เขายังเด็ก แก่นแท้พลังนั้นคือสีแดง

 

กระบวนท่าของธาตุน้ำมักจะสร้างแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและกระบวนท่าของธาตุไฟมักจะสร้างสีแดง นอกจากนี้ยังมีแก่นแท้พลังของไม้ซึ่งผลิตเป็นสีเขียวและธาตุดินซึ่งผลิตเป็นสีเหลือง แต่เขาไม่เคยสังเกตเห็นกระบวนท่าที่สามารถสร้างแก่นแท้พลังเป็นสีดำ!

 

"ลืมมันซะ! ความเร็วในการฝึกฝนนี้ช้ามากจนความสามารถนี้ไร้ประโยชน์! มันจะสำคัญอะไรถึงแม้ว่าจะสามารถสร้างแก่นแท้พลังเป็นสีรุ้งได้! การฝึกฝนแก่นแท้พลัง ไม่ว่าจะมีพลังมากเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์”

 

เจียงอี้นั้นขี้เกียจเกินกว่าที่จะคิดหรือสนใจเกี่ยวกับแก่นแท้พลังสีดำที่ถูกกลั่นผ่านตันเทียนของเขา เขาตัดสินใจที่จะถ่ายโอนแก่นแท้พลังไปยังเส้นลมปราณเล็กๆที่แขนซ้ายของเขา ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถของเขาในการฝึกกระบวนท่าวารีของตระกูลเจียง เขายังตัดสินใจที่จะเตรียมที่จะขับพลังนี้ออกจากร่างกายของเขาในวันพรุ่งนี้

 

ในที่สุดเขาก็สามารถทำให้ตัวเองสงบลงได้มากพอที่จะเพ่งสมาธิไปที่ลมปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขา

 

"เจียงอี้ เจ้ารีบออกมารายงานกับข้าเดี๋ยวนี้!"

 

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามอันเดือดดาลดังขึ้นจากลานด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจียงอี้ก็ตื่นขึ้นมาทันทีจากการทำสมาธิ หัวใจของเขาเต้นรัว เขารู้ได้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

เสียงที่คุ้นเคยนี้ดังมาจากหัวหน้าหรง ซึ่งเป็นคนในตระกูลเจียงที่ดูแลสวนสมุนไพร หลังจากเจียงอี้รับหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาสวนสมุนไพรบนเขาซีชาน

 

เขาต้องรายงานต่อหัวหน้าหรงทุกวันตามคำชี้แนะของเขา  อย่างไรก็ตามเจียงอี้ต้องฝืนทนกับบาดแผลฟกช้ำที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเจียงหยูหู่กับกลุ่มของเขาเมื่อวันก่อน เมื่อเจียงอี้ตื่นขึ้นมา เขาทั้งโมโห งุนงง และอ่อนแรง เขาลืมไปชั่วครู่เกี่ยวกับการรายงานประจำวันนั้น...

 

เจียงอี้กระเด้งขึ้นมาจากเตียงอย่างฉับพลันและจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเขาและรีบออกมาจากบ้าน

 

ณ ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างไสว อากาศยามเช้าทั้งสดชื่นและมีชีวิตชีวา เจียงอี้รู้สึกว่าหลังจากการนั่งสมาธิเป็นเวลานาน แผลของเขาก็ได้หายเป็นปกติ และพลังของเขาก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย

 

แต่บรรยากาศนั้นได้ถูกขัดขึ้นมาโดยชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมไหมจีนที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูบ้านและกำลังยืนกอดอกอยู่

 

เมื่อหัวหน้าหรงได้ยินเสียงฝีเท้าของเจียงอี้ที่มาจากข้างหลัง เขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะหันไปกลับมองเท่านั้น เขายังเค้นเสียงออกมาอย่างเย็นชา

 

"อรุณสวัสดิ์ ท่านหัวหน้าหรง!"

 

เจียงอี้กำหมัดทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและโค้งคำนับหัวหน้าหรงอย่างอ่อนน้อม เขาพึมพำกับตัวเองอย่างขมขื่น นึกไม่ถึงเลยที่นายน้อยอย่างเขาต้องลดเกียรติของตัวเองเพื่อทักทายและโค้งคำนับให้กับหัวหน้างานเล็ก ๆเช่นนี้...

 

หัวหน้าหรงไม่ได้หันกลับมามองเจียงอี้เลยแม้แต่น้อย

 

"ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าตรวจสอบไร่สวนเมื่อเช้าวานนี้เหรอ" หัวหน้าหรงถามอย่างเย็นชา

 

“ทำไมเจ้าไม่กลับไปรายงานข้า?!! นี่มันเป็นงานง่ายๆ เจ้ารู้หรือไม่  นี่เป็นวิธีที่เจ้าทำเมื่อมาอยู่ที่นี่เช่นนั้นหรือ?! ข้าจะต้องรายงานเหตุการณ์นี้ต่อตำหนักลงทัณฑ์  จงลืมเรื่องเงินที่เจ้าจะได้รับในเดือนนี้เสียเถอะ แม้แต่สลึงเดียวเจ้าก็จะไม่ได้มัน!!”

“ข้า....”

 

เจียงอี้กำลังจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเจียงหยูหู่และลูกน้องของเขาขโมยสมุนไพรและทุบตีเขา แต่เขาก็หยุดตัวเองขณะที่เขากำลังคิดที่จะอ้าปากพูด เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าไม่เพียงแต่บิดาผู้เป็นพ่อของเจียงหยูหู่ซึ่งเป็นพ่อบ้านผู้ดูแลของตระกูลเท่านั้น แต่เขายังเป็นหัวหน้าของหัวหน้าหรงอีกด้วย

 

หากเหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผยโดยเจียงอี้…ไม่เพียงแต่หัวหน้าหรงจะไม่ช่วยเขาเลยแม้แต่นิด หัวหน้าหรงอาจเปลี่ยนจากถูกเป็นผิดและลงโทษเขาแทน!

 

“ข้า...”

 

 “ว่าอย่างไรล่ะ ห๊ะ?!!”

 

ในที่สุดหัวหน้าหรงก็หันมาและจ้องมองเจียงอี้ทันทีด้วยสายตาที่เหี้ยมโหด "ไปที่เขาซีชานบัดเดี๋ยวนี้!! หากเจ้าไม่กลับมารายงานข้าเรื่องการนับสมุนไพรในจำนวนที่ถูกต้องภายในสี่ชั่วโมง เจ้าจะต้องเสียใจ!”

 

เมื่อพูดเสร็จแล้ว หัวหน้าหรงก็สะบัดแขนเสื้อของเขาขึ้นอย่างรังเกียจและเดินออกจากลานไป สิ่งที่เจียงอี้ทำได้มีเพียงแค่การเกาจมูกด้วยความอับอาย เขามุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อทำให้สดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็วและเขมือบโจ๊กเนื้อในหม้อสองสามคำก่อนที่จะรีบไปที่เขาซีชาน

 

แม้ว่าเขาจะยังเดินกะโผลกกะเผลกอยู่บ้าง แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่เขาเป็นเช่นเมื่อวานนี้และนี่ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นเป็นอย่างมาก

 

เจียงอี้ไปถึงเขาซีชานภายในหนึ่งชั่วโมง

 

พืชหลักที่ผลิตในเขาซีชาน คือ โสมหญ้าสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถกระตุ้นและบำรุงเลือดได้ โสมหญ้าเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับเก้าแม้ว่าพืชสมุนไพรนี้จะมีคุณภาพต่ำที่สุด แต่เนื่องจากพืชนั้นได้รับการพิจารณาว่าเป็นสมุนไพรแห่งวิญญาณ

 

คนทั่วไปไม่สามารถซื้อสมุนไพรนี้ได้ เม็ดยาที่ผลิตโดยตระกูลเจียงจะใช้โสมหญ้าเป็นส่วนผสมหลัก มันใช้รักษาบาดแผลและบำรุงเลือดและส่วนใหญ่ให้กับลูกหลานของตระกูลเจียง,จอมยุทธผู้ไม่ได้อยู่ในตระกูลเจียง และทหารของกองทัพ

 

เจียงอี้ยืนอยู่บนขอบของทุ่งนาและจ้องมองไปทุ่งสีเขียวขจีที่เต็มไปด้วยโสมหญ้า ความรู้สึกเจ็บปวดที่ขมขื่นเข้ามาในจิตใจของเขาเต็มไปหมด ที่นี่คือที่ซึ่งเขาถูกทุบตีและหมดสติไป หลังจากฟื้นคืนสติ เขาก็ต้องฝืนทนด้วยความยากลำบากและความทรมานในการพยายามกลับบ้าน

 

เจียงอี้ส่ายหัวของเขาไปมาไม่ให้คิดมากและเริ่มนับจำนวนโสมหญ้าแทน หัวหน้าหรงให้เวลาเขาเพียงแค่สี่ชั่วโมงให้เขาทำงานนี้ให้เสร็จทั้งหมด หากเขาไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา

 

เขาจะต้องทนการดุด่าอีกครั้งและสิ่งที่แย่กว่านั้นคือการถูกตัดเงินเดือน หากเงินเดือนของเขาถูกตัดลง เขาจะตกลงไปในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างแท้จริง

 

เจียงอี้เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆขณะที่เขานับโสมหญ้าต่อไป เมื่อเขาเดินผ่านทุ่งที่สามเขาได้ยินเสียงเบา ๆ ดังมาจากข้างหน้าเขา เขาเงยหน้าขึ้นและมองเห็นเงาที่น่าสงสัยซ่อนตัวอยู่ในวัชพืชในมุมไกล

 

"มีคนพยายามขโมยสมุนไพรอีกแล้ว!”

 

จู่ๆความเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูกสันหลังของเจียงอี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รีบวิ่งไปตรวจสอบเหมือนก่อน แต่ตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อเสียงรบกวนและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขานับพืชสมุนไพรรอบ ๆ ตัวเขาต่อไปเพื่อไม่ให้เขาเจอปัญหาใหม่

 

“ฮะ! ข้าก็แค่สงสัยว่ามันเป็นผู้ใดกัน มันเป็นเพียงเจียงอี้ จากเจ้าอัจฉริยะน้อย เป็นเด็กน้อยผู้ไร้ค่า!!”

 

ไม่นานหลังจากนั้นเสียงที่คลุมเครือ แต่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากหลังโพรงหญ้า เงาของคนอ้วนเตี้ย ๆ เปิดเผยตัวเองอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาที่เหมือนหมูของเขาไม่ได้ต้องการสิ่งใดๆ มีแต่ความตั้งใจที่จะเยาะเย้ยและเย้ยหยัน

 

"เจียงเป่า!"

 

เจียงอี้รับรู้ถึงความเกลียดชัง เขารู้จักเด็กคนนี้ เขาขโมยสมุนไพรกับเจียงหยูหู่เมื่อวานนี้และเป็นหนึ่งในสมาชิกสาขาจำนวนมากที่เข้ามาทุบตีเจียงอี้

 กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในเบ๊ที่น่าอับอายของเจียงหยูหู่ ดูเหมือนว่าคนงี่เง่าคนนี้สันนิษฐานว่าเจียงอี้บาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้และเขาไม่น่าจะไปที่เขาซีชานได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลับมาที่ไร่เพื่อขโมยพืชสมุนไพรมากขึ้น

 

เมื่อศัตรูทั้งสองมองเห็นซึ่งกันและกัน พวกเขาส่งสายตาให้กันด้วยความโกรธเกรี้ยว

 

อย่างไรก็ตามเจียงอี้ก็ยังไม่กล้าที่จะต่อกรกับเจียงเป่า แม้ว่าเจียงเป่าจะไม่มีความสามารถหรือจิตวิญญาณที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกอบรมแก่นแท้พลังของเขา แต่เขาก็ฝึกฝนมาหลายปีแล้ว แม้จะมีความก้าวหน้าช้า และอยู่ในระดับสองของขอบเขตฉูติ่ง

 

ในขณะที่เจียงอี้นั้นเป็นเพียงผู้ฝึกขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่ง มิหนำซ้ำเขายังบาดเจ็บอยู่

 

หากเขาเลือกที่จะจับเจียงเป่าอย่างดื้อรั้น เจียงอี้ก็กลัวว่าเขาจะแพ้ให้กับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นตามมา

 

“ไม่ต้องปริปากอะไรทั้งนั้น ไสหัวไปซะ อย่าทำให้ข้ารำคาญ!ถ้าหากว่าเจ้ากล้าเข้ามายุ่งในงานของข้า ข้าจะแก้แค้นเจ้าให้สาสม!”

 

เจียงอี้ไม่ต้องการเพิ่มปัญหา แต่เห็นได้ชัดว่าเจียงเป่าไม่มีความปรารถนาที่จะปล่อยเจียงอี้ไปแต่โดยดี เจียงเป่าทำให้บรรยากาศดุเดือดและเหี้ยมโหด ขณะที่เขามองเจียงอี้อย่างเยือกเย็น

 

ความตั้งใจของเขาชัดเจน เพราะเจียงอี้อยู่รอบๆ จึงไม่สะดวกสำหรับเขาที่จะหยิบคว้าสมุนไพรตามที่เขาพอใจ ...

 

คนเราควรที่จะฉลาดขึ้นจากการเรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต

 

อันที่จริงเจียงอี้ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระของเจียงเป่า เพียงแต่ว่า…หากเขาไม่สามารถอธิบายกับหัวหน้าหรงได้ว่าทำไมจึงไม่สามารถกลับไปรายงานจำนวนโสมหญ้าที่ปลูกในสวนสมุนไพร เขาจะลงเอยด้วยการได้รับเงินเดือนรายเดือนที่เป็นแค่เศษเสี้ยว ... และเสี่ยวนู๋ก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีก

 

ดังนั้นเขาจึงยังคงยืนหยัดอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

“ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องสอนบทเรียนให้เจ้า ไม่เช่นนั้นสมองของเจ้าอัจฉริยะน้อยผู้กลายเป็นเด็กไร้ค่าอย่างเจ้าก็คงจะไม่เรียนรู้สินะ!”

 

เจียงเป่าดูถูกเจียงอี้ และเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นแววตาอันน่าสะพรึงกลัวและเสียงคำรามของเจียงเป่าก็ดังสนั่นขึ้นเขากระโดดขึ้นไปในอากาศโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า แก่นพลังสีแดงรอบกำปั้นขวาของเจียงเป่าได้เผยขึ้นมา  เหมือนกับดาวตกที่พุ่งผ่านท้องฟ้าในยามค่ำคืน เขาชกไปที่หัวของเจียงอี้อย่างดุเดือด

 

 “ทักษะการต่อสู้ระดับมนุษย์ขั้นสูง หมัดดาวตก? เจียงเป่า นี่เจ้า...!!!”

 

เจียงอี้รีบถอยไปทางด้านหลัง

 

เจียงอี้คาดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่เจียงเป่าแทบจะไม่มีสัญญาณเตือนก่อนเริ่มการโจมตีของเขาเท่านั้น เขายังเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังได้ทันที! ซึ่งบาดแผลบนร่างกายของเจียงอี้ก็ยังไม่สมานดี

 

ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะยิ่งทำให้พวกมันแย่ลงเท่านั้น ...

 

ฟิ้ววว!!

 

กำปั้นเหล็กของเจียงเป่าบินทะลวงผ่านอากาศมา เจียงอี้ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันการโจมตีดังกล่าวนี้ เขาเพ่งสมาธิไปที่การหลีกเลี่ยงการโจมตีที่เข้ามา เป็นผลให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวมากพอที่จะเห็นพื้นดินที่ไม่สม่ำเสมอในด้านหน้าของเขา และในความรีบเร่งของเขาที่ต้องการจะหลีกเลี่ยงการโจมตีข้างหน้า

 

เจียงอี้สูญเสียสมดุล เขาเหยียบลงไปในพื้นดินที่มีหลุมเล็กๆและล้มลง ในขณะนั้นที่เขากลับมาสนใจการต่อสู้ข้างหน้า หมัดของคู่ต่อสู้ของเจียงอี้ก็ใกล้เข้ามาที่เขาอย่างประชิด

 

เจียงอี้ปล่อยแก่นแท้พลังทั้งหมดของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และป้องแขนของเขาเพื่อที่จะปกป้องร่างกายส่วนบนของเขาไว้ อย่างไรก็ตามเขาลืมไปว่าเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของพลังสีดำที่เขาฝึกฝนเมื่อตอนท่องบทสวดนิรนามเมื่อคืนนี้ยังคงซ่อนอยู่ในเส้นเลือดเล็กๆที่แขนซ้ายของเขาและเขาลืมที่จะขับพลังนั้นออกจากร่างกายของเขา

 

เมื่อเขาใช้พลังทั้งหมดของเขาในการปล่อยแก่นแท้พลังโดยใช้วรยุทธวารีตระกูลเจียง เขาบังเอิญถ่ายโอนแก่นพลังสีดำไปกับพลังอื่น โดยที่ไม่ตั้งใจ

 

บ้าเอ้ย! ผลกระจากการบิดเบือนของปราณกำลังเล่นงานข้า!

 

เจียงอี้ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาได้ในทันทีและหวั่นเกรงต่อความคิดที่แหลมคมของเขาในตอนนี้ ในสภาพที่เขาอยู่ในขณะนี้คิดว่า แก่นแท้พลังของสสารที่แตกต่างไม่สามารถรวมกันได้ในเวลาเดียวกันไม่เช่นนั้นพลังทั้งสองจะปะทะกันและสร้างความผิดปกติภายในร่างกายได้

 

เส้นลมปราณและเส้นโลหิตของเขาจะระเบิดจากการปะทะกันของพลังทั้งสอง

 

และในเวลาต่อมาเขาก็ประหลาดใจเมื่อเห็นว่าแก่นแท้พลังสีดำที่ได้รับการฝึกฝนจากอักษรสีดำในตำราโบราณนั้นชนกับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินที่ได้รับการฝึกฝนจากวรยุทธวารีตระกูลเจียง อย่างไรก็ตามแทนที่ร่างกายภายในจะต้องปั่นป่วนดั่งที่เขาคิด กลับกลายเป็นว่าแก่นแท้พลังของทั้งสองประเภทสามารถผสมกันอย่างสมบูรณ์แบบ ดั่งเช่นน้ำและนม

 

พลังทั้งสองนั้นได้ไหลเวียนอย่างอิสระผ่านหลอดเลือดแดงของเขาโดยไม่มีการปะทะกัน

 

“เอ๊ะ…. พลังทั้งสองสามารถรวมกันได้ด้วยจริงๆหรือนี่??”

 

เจียงอี้กระพริบตาด้วยความเหลือเชื่อและรู้สึกโล่งใจอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหมัดของคู่ต่อสู้ที่ห่างเพียงแค่นิ้วเดียวจากใบหน้าของเขา เมื่อไม่คิดมากเรื่องพลังทั้งสองแล้ว จิตใต้สำนึกของเขาก็ยังคงการไหลเวียนของแก่นแท้พลังไว้ เขาสามารถขยับร่างกายของเขาไปด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของเจียงเป่า ในขณะที่หมัดทั้งสองของเจี้ยงอี้นั้นกำลังยิงกำปั้นไปที่เจียงเป่า

 

ปัง!

 

เสียงนั้นดังออกไป และกลายเสียงเบาๆที่แล่นผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เสียงเจียงเป่าที่ชกเจียงอี้สำเร็จ แต่เป็นร่างกายที่แข็งแรงของเจียงเป่าที่ได้ลอยขึ้นไปราวๆสิบห้าเมตร เหมือนถุงผ้าที่แตกกระจาย หลังจากร่างของเจียงเป่าร่วงลงมากระทบกับพื้นดินอย่างหนักหน่วง

 

“อ๊า.....กก!!”

 

เสียงกรีดร้องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง ทะลุผ่านอากาศมาในขณะที่เจียงเป่ากลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง มือขวาที่เขาเคยโจมตีเจียงอี้ ถูกผลักไปด้วยพลังที่ลึกลับ เจียงเป่าใช้มือซ้ายของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่แรงที่สวนกลับไปนั้นทำให้ข้อศอกของเขาหลุดออก

“หนะ....นี่....”

 

เจียงอี้ตะลึงงันอย่างมาก เขาจ้องมองที่มือซ้ายของเขาและนึกถึงความประหลาดทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะพึมพำขึ้นมาว่า "แก่นแท้พลังสีดำนี้เห็นได้ทนโท่ว่าไม่ใช่น้ำ แต่…มันจะหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้พลังของวรยุทธวารีของตระกูลเจียงได้อย่างไร และทำไมการรวมพลังจึงมีพลังทำลายล้างขนาดนี้ กระบวนท่านั้นในตอนนี้…พลังของข้าต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองหรือสามเท่า…มิฉะนั้นข้าจะส่งเจ้าเจียงเป่าบินลิ่วขนาดนั้นได้อย่างไร”

รีวิวผู้อ่าน