px

เรื่อง : Rebirth Of the Urban Immortal Cultivator
ตอนที่ 15 : ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้


เฉินฟานออกจากศูนย์บำบัดสุขภาพด้วยความพึงพอใจ

 

คุณเว่ยบอกทุกสิ่งที่เขาอยากรู้ เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศิลปะการต่อสู้ที่มีมาเนิ่นนาน เป็นไปได้ว่าบนโลกนี้อาจเคยมีนิกายลับบางแห่งหรือผู้บ่มเพาะบางคนเมื่อหลายพันปีก่อน เทคนิคการบ่มเพาะได้รับการปรับแต่ง และทำให้ง่ายขึ้นจนก่อให้เกิดเป็นเทคนี้ศิลปะการต่อสู้

 

ยุคที่รุ่งเรืองครั้งสุดท้ายของศิลปะการต่อสู้คือช่วงเวลาที่สับสนอลหม่านในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉินที่ยิ่งใหญ่

 

ในช่วงเวลานั้นมีปรมาจารย์หลายคน อย่างไรก็ตามสงครามที่เกิดจากการโจมตีของญี่ปุ่นได้หยุดการพัฒนาศิลปะการต่อสู้นับตั้งแต่นั้นมา นับจากนั้นจึงมีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในประเทศจีน

 

พลังของศิลปะการต่อสู้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ

 

พลังภายนอก พลังภายใน และระดับปรมาจารย์ผู้หลุดพ้น

 

ผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ในโลกนี้มีพลังอยู่ที่ระดับที่หนึ่ง - พลังภายนอก ส่วนมากศิลปะการต่อสู้ที่โด่งดัง และมีชื่อเสียงคือ กรงเล็บอินทรี หงฉวน และเจี๋ยฉวนเต้า ศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นมุ่งเน้นไปที่พลัง และความยืดหยุ่นของมนุษย์

 

มีเพียงสำนักศิลปะการต่อสู้เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับที่สอง - พลังภายใน เช่นสำนักเน่ยเจียเฉวียน และศิลปะการต่อสู้ลับที่สืบทอดมาจากตระกูล

 

ระดับพลังภายในแบ่งออกเป็นสี่ขั้นย่อย: ขอบเขตความสำเร็จขั้นต้น ขอบเขตความสำเร็จขั้นกลาง ขอบเขตความสำเร็จขั้นสูง และขอบเขตความสำเร็จขั้นสมบูรณ์ เฉินฟานคาดว่าคุณเว่ยน่าจะอยู่ที่ขอบเขตความสำเร็จขั้นสูง

 

การฝึกฝนพลังภายในนั้นเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่นเว่ยซีชิงที่เริ่มฝึกฝนภายใต้คำแนะนำจากคุณปู่ของเธอมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ยังไม่ก้าวเข้าสู้แม้แต่ขอบเขตความสำเร็จขั้นต้นจนกระทั่งเธอมีอายุ 20 ปี และเมื่อเธอก้าวสู่ขอบเขตความสำเร็จขั้นต้นแล้ว เธอก็ยังคงห่างไกลจากการบรรลุขอบเขตความสำเร็จขั้นต้นมากอยู่ดี

 

มีผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้เพียงไม่กี่คนในประเทศจีนที่มีพลังภายใน

 

นอกจากคู่ปู่หลานคู่นี้แล้ว มีเพียงคนเดียวที่สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หรือผู้ฝึกยุทธ์ระดับพลังภายในของเมืองซูโจว เขาก็คือเจ้าของสโมสรศิลปะการต่อสู้เว่ยเฉียง อย่างไรก็ตามคุณเว่ยไม่เคยถือว่าเจ้าของสโมสรศิลปะการต่อสู้เว่ยเฉียงเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ระดับพลังภายใน เนื่องจากพลังของเขาเบาบางมากเกินไป

 

แม้ว่าหลังจากที่คนคนหนึ่งจะฝึกฝนพลังภายในไปจนถึงขอบเขตความสำเร็จขั้นสมบูรณ์ แต่ผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่มีพลังภายในก็ไม่สามารถหลบกระสุนปืนได้อยู่ดี นับตั้งแต่ที่ทศวรรษแห่งการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้สามารถถูกทำลายได้ง่ายภายใต้การจู่โจมด้วยปืน ศิลปะการต่อสู้จึงกลายเป็นล้าสมัย และมีเพียงผู้คนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ยังคงฝึกฝนกันอยู่

 

อย่างไรก็ตามคุณเว่ยเชื่อว่าปืนจะไม่สามารถเอาชนะผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้เมื่อเขาหรือเธอก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ผู้หลุดพ้น

 

ปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นได้รับการคุ้มครองจากพลังฉีที่แข็งแกร่ง และป้องกันอันตรายทางกายภาพต่างๆ

 

คุณเว่ยยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นที่เก่งกาจ และมีอายุน้อยเช่นเขาได้ เฉินฟานเป็นปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นคนแรกที่เขาได้เห็นในช่วง 80 ปีที่ผ่านมาตลอดชีวิตของเขา

 

‘คุณเว่ยยังพูดอีกด้วยว่ามีระดับศิลปะการต่อสู้ที่เหนือไปกว่าปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นอยู่อีกระดับหนึ่ง และมันถูกเรียกว่าปรมาจารย์อมตะ ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่สามารถใช้พลังที่ไม่อาจจินตนาการได้ อย่างไรก็ตามคุณเว่ยดูเหมือนจะเชื่อว่านี่เป็นเพียงแค่ตำนานเก่าแก่เท่านั้นเนื่องจากไม่มีใครเคยพบเห็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในระดับนั้นมาก่อน’ เฉินฟานเตือนตัวเอง

 

ถ้าพลังภายในสอดคล้องกับขั้นสร้างรากฐาน

 

และระดับปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นสอดคล้องกับขั้นก่อกำเนิด ถ้าเช่นนั้นระดับปรมาจารย์อมตะก็น่าจะสอดคล้องกับขั้นทะเลปราณงั้นเหรอ?

 

เมื่อเขาบ่มเพาะจนก้าวเข้าสู่ขั้นทะเลปราณ เขาก็จะสามารถแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังของคาถาหรืออาคม

 

อย่างไรก็ตามแค่เพียงปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นก็ถือว่าหาได้ยากเป็นอย่างยิ่งแล้ว เฉินฟานจึงสงสัยว่าเขาจะหาคนที่เป็นปรมาจารย์อมตะพบหรือไม่

 

เฉินฟานส่ายหัวแล้วตัดสินใจปล่อยผ่านเรื่องนี้ มีสิ่งแปลกๆในประวัติศาสตร์มากเกินไป และจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เฉินฟานจะมั่นใจได้ว่ายังคงมีปรมาจารย์ระดับอมตะอยู่

 

เมื่อเฉินฟานออกจากศูนย์บำบัดสุขภาพ ไม่เพียงแต่เขาได้รับคำตอบที่เขาต้องการ แต่เขายังได้รับของขวัญส่วนตัวจากคุณเว่ยด้วยเช่นกัน

 

มันเป็นกุญแจของคฤหาสน์บนภูเขายุนวู

 

คุณเว่ยบอกเขาว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นของขวัญจากลูกชายคนสุดท้องของเขา เนื่องจากเขาแก่เกินกว่าที่จะย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ เขาจึงตัดสินใจยกคฤหาสน์หลังนี้ให้กับเฉินฟาน นอกจากนี้นี่ยังถือเป็นคำขอโทษสำหรับปัญหาที่โจวเทียนฮ่าวก่อให้เขา

 

เฉินฟานไม่ได้ปฏิเสธของขวัญที่มีราคาแพงเหมือนกับคนปกติ เขารับของขวัญชิ้นนี้มาราวกับว่าเป็นเพียงแค่การยักไหล่ ในฐานะจ้าวแห่งสวรรค์ในอดีต คฤหาสน์เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย

 

เฉินฟานรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อชายชรานั้นมีค่ามากกว่าคฤหาสน์ เขาไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บให้กับคุณเว่ย แต่ยังค้นพบ และแก้ไขสาเหตุที่ก่อปัญหาจากเทคนิคศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเขา ศิลปะการต่อสู้ฉบับปรับปรุงนี้ไม่เพียงแต่ปลอดภัยมากกว่าฉบับดั้งเดิม แต่ยังทรงพลังมากกว่าเดิมอีกด้วย ด้วยศิลปะการต่อสู้ฉบับใหม่นี้ คุณเว่ยจึงมีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นได้

 

นอกจากนี้เฉินฟานยังมั่นใจอีกว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องช่วยคุณเว่ย

 

เฉินฟานจึงรับของขวัญชิ้นนี้อย่างไม่คิดมาก

 

เว่ยซีชิง และปู่ของเธอนั่งอยู่ในศาลา และมองดูเฉินฟานในขณะที่เขาออกจากศูนย์บำบัดสุขภาพ เว่ยซีชิงขมวดคิ้ว และบ่น “คุณปู่คะ คุณปู่ไม่คิดเหรอคะว่าของขวัญชิ้นนั้นไม่มากเกินไปเหรอคะ? มันเป็นคฤหาสน์ที่ดีที่สุดบนภูเขายุนวู และมีราคามากกว่าสามสิบล้านหยวน นี่เป็นของขวัญจากนักพัฒนาที่มอบให้กับคุณลุง และคุณลุงก็มอบให้กับคุณปู่ คุณปู่ก็รู้นี่คะว่าซีผิง และคุณป้าต้องการคฤหาสน์หลังนี้มาก ดังนั้นทำไมคุณปู่ถึงไม่มอบคฤหาสน์หลังนี้ให้กับสมาชิกภายในครอบครัวของเรา แต่มอบให้กับคนแปลกหน้าคนหนึ่งแทน?”

 

“แม้ว่าเขาจะรักษาปอดของคุณปู่ แต่การมอบคฤหาสน์หลังนั้นก็ยังคงมากเกินไปสำหรับสิ่งที่เขาทำให้คุณปู่อยู่ดี คุณปู่ไม่คิดเช่นนั้นเหรอคะ? ในความคิดของหนู คุณปู่เพียงแค่มอบเงินสองสามล้านหยวนให้กับเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว” ซีชิงถามออกมา เธอกำลังตกอยู่ในความสูญเสียจากของขวัญล้ำค่าที่คุณปู่ของเธอมอบให้เฉินฟาน

 

“เพียงแค่หนังสือเล่มนั้นที่เขามอบให้กับปู่ก็มีค่ามากกว่าคฤหาสน์นับสิบเท่า” คุณเว่ยหรี่ตา และตอบ การแสดงออกที่เฉียบแหลมของเขาเป็นเรื่องปกติเมื่อเขาทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม

 

“เทคนิคศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการแก้ไขฉบับนี้จะทำให้ตระกูลของเราประสบความสำเร็จไปอีกอย่างน้อยนับร้อยปี”

 

“หลานยังไม่รู้เลยว่าปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นมีความหมายมากขนาดไหน” คุณเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

 

“ปรมาจารย์ผู้หลุดพ้น?” เว่ยซีชิงพึมพำ “คุณปู่บอกหนูหน่อยนะคะว่าปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นคืออะไรกันแน่? คุณปู่บอกแต่เพียงว่าปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นสามารถที่จะทนต่ออันตรายทางกายภาพโดยใช้พลังฉีที่แข็งแกร่งเป็นเกราะป้องกัน และพวกเขาพบเจอได้ยากอย่างน่าเหลือเชื่อ หนูหมายถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ผู้หลุดพ้น แล้วมันยังไงล่ะ?”

 

“หนูได้ตรวจสอบภูมิหลังของชายหนุ่ม และดูเหมือนว่าเขาจะมาจากครอบครัวธรรมดามาก คุณปู่คะ ปู่ต้องการเป็นเพื่อนกับเขาเพียงเพราะเขาเป็นปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นอย่างนั้นเหรอคะ?”

 

ด้วยทรัพยากรของตระกูลเว่ย ซีชิงจึงทำการค้นหาทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเฉินฟาน อย่างไรก็ตามตระกูลหวังนั้นทรงพลังเกินกว่าที่ซีชิงจะยื่นจมูกของเธอเข้าไปได้

 

“มันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่หลานคิดหรอกนะ” คุณเว่ยส่ายหัวแล้วหันไปเผชิญหน้ากับหลานสาวที่น่ารักของเขา

 

ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ทุกคนในตระกูล ซีชิงเป็นเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้างเขา ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอกำลังยุ่งอยู่กับการหาเงิน และสนุกกับชีวิต แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างคุณปู่ และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แทน

 

คุณเว่ยสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทในงานการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเธอ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับเธอ

 

“หลานจำเย่หนานเทียนได้ไหม?” คุณเว่ยถาม

 

“เย่หนานเทียนจากเมืองหยานจินงั้นเหรอคะ?” เว่ยซีชิงถามด้วยความสงสัย

 

“ใช่แล้ว หลานอาจยังไม่รู้ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ด้วยเช่นกัน” คุณเว่ยพยักหน้า และพูด

 

“ปะ เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ปากของซีชิงเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ

 

แม้ว่าซีชิงจะไม่ได้จดจ่อกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ได้ฝึกฝนภายใต้คำแนะนำของคุณปู่มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเธอจึงเคยได้ยินเรื่องของเย่หนานเทียนมาจากคุณปู่อยู่บ่อยครั้ง

 

สำหรับซีชิง เย่หนานเทียนเป็นดั่งตำนาน และเธอก็เติบโตมาพร้อมกับเรื่องราวของเขา

 

ในทุกเรื่องราวเหล่านั้น เย่หนานเทียนราวกับผู้ไร้พ่าย

 

บางเรื่องบอกว่าเขาสามารถเอาตัวรอดออกมาจากป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยมีดสั้นเพียงอันเดียว

 

บางเรื่องก็อ้างว่าเขาเดินลึกเข้าไปในพื้นที่ชายแดนที่รกร้าง และรอดชีวิตมาได้หกเดือนโดยไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ

 

เขาเป็นจุดรวมของความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ เขาได้รับฉายาเทพสงครามเช่นเดียวกับลิโป้หรือเตียวหุยในยุคสมัยโบราณ

 

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องราวของเย่หนานเทียนก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอคะ?” ซีชิงถามคุณปู่ของเธอด้วยความสับสน

 

เธอเชื่อมั่นว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรอื่นนอกจากนิทาน หรือไม่ก็เป็นโฆษณาชาตินิยมชวนเชื่อ อย่างไรก็ตามเว่ยฝูพยักหน้าอย่างจริงจัง และพูด “ไม่เพียงแต่เรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่มีเรื่องราวอีกมากมายที่ปู่ยังไม่ได้บอกกับหลาน”

 

“ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วทุกคนจะเรียกขานเขาว่าเทพสงครามได้อย่างไร?”

 

“ปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นทรงพลังมากจริงๆงั้นเหรอคะ?” เว่ยซีชิงยังพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจให้เชื่อได้

 

อย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณปู่ของเธอเป็นคนที่นับถือคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงได้แต่ทำใจยอมรับ

 

มันเป็นเพราะความอยากรู้ของเธอที่ทำให้เธอก้าวไปตามรอยเท้าของคุณปู่ แต่ต่อมามันก็กลายเป็นความรู้สึกของการเติมเต็มที่ทำให้เธอก้าวเดินต่อไป เธอไม่เคยคิดว่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จะทำให้เธอกลายเป็นนักสู้ที่ทรหดเช่นนี้มาก่อน

 

“ปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นไม่ได้มีพลังที่อันตรายที่สุดในโลก แต่เป็นชุดเกราะพลังฉีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกต่างหาก!” เว่ยฝูพึมพำ

 

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณปู่ ทันใดนั้นภายในใจเธอก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมา ปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นสวมเสื้อเกราะพลังฉี และถือปืนที่ทรงพลังทั้งสองมือ เมื่อภาพนี้ผุดขึ้นมาในใจ เว่ยซีชิงก็สั่นสะท้าน

 

ถ้าสิ่งที่คุณปู่ของเธอพูดเกี่ยวกับพลังของปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นเป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นเรื่องราวของเย่เทียนหนานก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย

 

มันยากสำหรับเธอที่จะจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักรบผู้ยิ่งใหญ่ทำการต่อสู้ในสงครามที่แท้จริง

 

“ไม่ใช่เพียงแค่เย่หนานเทียนคนเดียวเท่านั้น หลานจำลุงหวู่จากตระกูลของปู่เซียวได้ไหม?” คุณเว่ยพูดเพิ่มเติม

 

“จำได้ค่ะ” ซีชิงพยักหน้า และใบหน้าของเธอก็เผยให้เห็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา

 

“เขาก็เป็นปรมาจารย์ผู้หลุดพ้นด้วยเช่นกัน” คุณเว่ยพูดขึ้นมาอย่างเงียบๆ

 

สีแดงบนใบหน้าของหญิงสาวนั้นหายไปทันทีหลังจากได้รับรู้การเปิดเผยที่น่าตกใจ

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------

 

พูดคุยกันได้ที่ Rebirth Of The Urban Immortal Cultivator ขอบคุณครับ

รีวิวผู้อ่าน