ในขณะเดียวกันเฉินฟานกำลังเดินทางไปยังที่พักของเว่ยฝู
ครั้งนี้เสี่ยวฉีไม่ได้ขับแลนด์โรเวอร์ แต่เป็น Audi A6 รุ่นเก่าซึ่งมีราคาถูกกว่าแลนด์โรเวอร์
อย่างไรก็ตามจากป้ายทะเบียนที่ดูเก่าแต่ถูกปัดฝุ่นมาอย่างดีรวมไปถึงการตกแต่งภายในดั้งเดิมที่ยังคงอยู่ในสภาพที่สะอาดหมดจด เฉินฟานก็สามารถบอกได้ว่ารถคันนี้มีคุณค่าต่อคุณเว่ยกว่ารถแลนด์โรเวอร์มาก
เสี่ยวฉีดึงกระจกมองหลังลงเพื่อมองดูเฉินฟาน และพูด
“ผมคิดว่าคุณคงเดาได้แล้วว่าเจ้านายของผมคือใครใช่ไหมครับ?”
เฉินฟานพยักหน้า
ในที่สุดเขาก็จำได้ว่าชายชราคนนั้นเป็นใคน
‘เว่ยฝู!’
เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซูโจวซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชื่อที่โด่งดังไปทั่วประเทศจีน ไม่แปลกใจเลยที่เฉินฟานรู้สึกว่าชื่อนั้นฟังดูคุ้นหูเมื่อเขาได้ยินในครั้งแรก
เมืองซูโจวตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลหูตง และเป็นเมืองเศรษฐกิจที่ดีที่สุด ในศตวรรษที่ผ่านมาเว่ยฝูเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเพียงคนเดียวที่มาจากเมืองนี้
มีข่าวลือว่าเขามาจากตระกูลลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เมื่อตอนที่เขายังเป็นหนุ่ม เขาเป็นคนที่ริเริ่มธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น และกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองในช่วงปลายยุค 70
ในปี 1980 เขาก็เริ่มเกษียณตัวเองออกจากแวดวงธุรกิจ แต่เขาก็ได้สะสมความมั่งคั่งไปมากมายจนไม่มีใครรู้ว่าเขาร่ำรวยมากขนาดไหน
ไม่น่าแปลกใจเลยที่โจวเทียนฮ่าวจะรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเขาเห็นเสี่ยวฉี ในทางกลับกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนว่าโจวเทียนฮ่าวจะมีคอนเนคชั่นที่พิเศษบางอย่างกับตระกูลเว่ยด้วยเช่นกัน
คุณเว่ยมีชื่อเสียงที่โด่งดัง เขาไม่ใช่ฮีโร่ของเมืองนี้หรอกเหรอ? ทำไมเขาถึงเข้าไปพัวพันกับพวกอันธพาลอย่างโจวเทียนฮ่าวด้วยล่ะ? เฉินฟานขมวดคิ้ว เสี่ยวฉีสังเกตเห็นถึงความกังวลของเฉินฟาน ดังนั้นเขาจึงอธิบายออกมา
“ท่านเว่ยมีลูกชาย 3 คน และลูกสาว 2 คน ลูกชายคนโตประสบความสำเร็จ และลูกชายคนที่สองก็ไม่ได้เลวร้ายเช่นกัน”
“แต่ลูกชายคนที่สามนั้นต่างออกไป เขาขี้เกียจ และเสียคน เขาเปิดบริษัทของตัวเองที่ข้องเกี่ยวกับพวกที่น่ารังเกียจในเมืองซูโจว จนถึงตอนนี้เขาทำทุกอย่างออกมาได้ดีมาก แต่ก็ต้องขอบคุณคอนเนคชั่นจากตระกูลของเขาด้วยเชนกัน และโจวเทียนฮ่าวก็เป็นคนที่ทำงานให้กับเขา”
แม้แต่คนนอกเช่นเสี่ยวฉีก็ไม่สามารถทนกับลูกชายคนที่สามอย่างเว่ยเหลาได้ เห็นได้ชัดว่าลูกชายคนสุดท้องไม่เหมือนกับพ่อของเขา
เฉินฟานพยักหน้าเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว
เมื่อรถผ่านทางหลวงที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบ มันก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาหมอก หลังจากนั้นไม่นานเสี่ยวฉีก็ขับรถไปหน้าอาคารอิฐขนาดใหญ่ที่มีกระเบื้องหลังคาโลหะสีเขียว
“ท่านเว่ยมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย ดังนั้นส่วนใหญ่ท่านเว่ยจะอยู่ในศูนย์บำบัดสุขภาพแห่งนี้” เสี่ยวฉีจอดรถ และนำเฉินฟานเข้าไปในอาคาร
เส้นทางที่นำไปสู่ทางเข้าห้องโถงหลักนั้นเงียบสงบ และเฉินฟานก็เห็นชายชรา และหญิงสาวจำนวนมากพร้อมกับพยาบาลในชุดสีขาว ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ที่เขาเห็นนั้นเข้ากันได้ดี และมีอายุเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี พวกเขาเลือกสถานที่ที่เงียบสงบแห่งนี้เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา
“สภาพแวดล้อมของที่นี่ยอดเยี่ยมมาก! ที่นี่เหมาะสำหรับการฟื้นตัวมากจริงๆ” เฉินฟานพูดขึ้นในขณะที่เขาประหลาดใจกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ และสไตล์ของนักออกแบบที่ออกแบบสถานที่แห่งนี้
ในที่สุดเมื่อเขาเห็นคุณเว่ย เขาก็พบว่าชายชรากำลังฝึกประดิษฐ์ตัวอักษรอยู่ ซีชิงยืนเคียงข้างคุณปู่ของเธอ และกำลังฝนหมึกโดยการบดแท่งหมึกเบาๆลงบนกล่องหมึก
เฉินฟานศึกษางานประดิษฐ์ตัวอักษรของคุณเว่ย และรู้สึกทึ่งกับลายเส้นที่ยอดเยี่ยม เห็นได้ชัดว่าคุณเว่ยได้ฝึกฝนศิลปะการประดิษฐ์ตัวอักษรมาอย่างน้อยสองถึงสามทศวรรษ
“มิสเตอร์เฉินดูเหมือนว่าคุณจะมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยงั้นหรือ?” คุณเว่ยตั้งพู่กันไว้ด้านข้าง และถามออกมาด้วยรอยยิ้มต้อนรับ
(ุคุณเว่ยจะเรียกเฉินฟานว่ามิสเตอร์เฉินนะครับ ลองย้อนไปอ่านตอนที่ 7 เผื่อใครลืม)
ชายสูงอายุสวมเสื้อเชิ้ต และกางเกงหลวมๆซึ่งผู้สูงอายุที่ฝึกไทเก็กมักสวมใส่ ชุดที่สบายทำให้คุณเว่ยดูผ่อนคลายมากกว่าตอนที่เขาอยู่ในชุดออกงาน เฉินฟานคาดว่าเขาคงรู้สึกผ่อนคลาย และปราศจากความกังวลเมื่อเขาอยู่ที่นี่
“ฉันรู้แค่นิดหน่อยเท่านั้น”
เฉินฟานพูดความจริง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนพู่กัน จิตรกรรมหรือดนตรี เขาก็ไม่มีพรสวรรค์หรือความสนใจใดๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขา
“ฉันคิดว่าคุณจะมารักษาคุณปู่ของฉันในวันนี้ แล้วเครื่องมือของคุณเช่นเข็ม และอะไรทำนองนั้นอยู่ที่ไหนกันล่ะ?” เว่ยซีชิงพูดโผล่งขึ้นมาทันที บางสิ่งเกี่ยวกับเฉินฟานทำให้เธอกระวนกระวายใจ แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เฉินฟานพบว่าเธอใส่ชุดที่ดูสบายๆ เธอสวมเสื้อยืดสีขาว และกางเกงขาสั้นจนเผยให้เห็นต้นขาที่เรียวยาวคู่หนึ่ง เมื่อเทียบกับชุดออกกำลังกายตอนเช้าของเธอแล้ว สไตล์ที่แตกต่างเช่นนี้ได้เปิดเผยความงดงามของเธอออกมา
“วิธีการรักษาของฉันไม่จำเป็นต้องฝังเข็มหรือทำการนวด” เฉินฟานส่ายหัว
“ดูนี่สิ” เฉินฟานส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้กับคุณเว่ย บนหน้าปกเขียนไว้ว่า “ศิลปะการต่อสู้ลับตระกูลเว่ย”
ศิลปการต่อสู้ะลับนี้เป็นเทคนิคโคจรพลังภายในที่เฉินฟานสร้างขึ้นมาโดยปรับปรุงจากเทคนิคเก่าของคุณเว่ย เฉินฟานจึงตั้งชื่อที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดขึ้นมา
“นี่คือ?” เว่ยฝูรับหนังสือเล่มนี้มาอย่างสับสน อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาเริ่มอ่านมัน การแสดงออกที่สับสนบนใบหน้าของเขาก็แปนเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“มีอะไรผิดปกติเหรอคะคุณปู่?” ซีชิงถามขึ้นมา
หลังจากเว่ยฝูอ่านหน้าสุดท้ายเสร็จแล้ว เขาก็ปิดหนังสือ และปิดตาของเขาในขณะที่จมไปในห้วงความคิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจ และลืมตาขึ้นมา
เขาหันไปหาเฉินฟาน และโค้งคำนับให้กับเขา “ขอบคุณมากมิสเตอร์เฉิน ฉันจะไม่มีวันลืมสิ่งที่คุณทำเพื่อฉันในครั้งนี้เลย”
“ไม่เป็นไร โชคชะตานำคุณ และฉันมาพบกัน ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถทนนั่งดูคุณอยู่เฉยๆได้” เฉินฟานยอมรับการคำนับของชายชรา และตอบกลับ
“คุณปู่คะ คุณปู่คำนับเขาทำไมคะ? เขาทำอะไรให้กับคุณปู่กัน?”
ซีชิงประคองเว่ยฝูให้ยืนตัวตรงหลังจากที่โค้งคำนับให้กับเฉินฟาน เธอหันไปจ้องเฉินฟานอย่างรวดเร็ว และโทษเขาที่ทำตัวไร้ยางอายโดยปล่อยให้ผู้อาวุโสกว่าโค้งคำนับเขา
เฉินฟานยิ้มออกมาในขณะที่เขาคร่ำครวญถึงความหัวแข็งของหญิงสาว เมื่อไม่นานมานี้เธอได้อ้อนวอนเฉินฟานเพื่อขอให้เขาช่วยปู่ของเธอ และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทันทีที่เธอพบว่าสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นเหมือนเช่นที่เธอคาดไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็จางหายไปในพริบตา
“มิสเตอร์เฉิน ทำไมคุณถึงไม่อธิบายให้ซีชิงฟังสักหน่อยล่ะ” คุณเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินฟานพูดอย่างช้าๆ “อาการบาดเจ็บของคุณปู่ของเธอส่วนใหญ่เกิดจากเหตุสองปัจจัย ปัจจัยแรกคือการบาดเจ็บที่เขาได้รับเมื่อตอนที่เขายังเป็นหนุ่ม และเนื่องจากเขาปล่อยให้อาการบาดเจ็บเรื้อรัง สภาพปอดของเขาจึงทรุดหนักเกินกว่าจะช่วยได้”
“ปัจจัยที่สองคือเทคนิคของเขาใช้ในการโคจรพลังภายใน ทุกครั้งที่เขาโคจรพลังภายใน เขาจะสร้างความเสียหายให้กับปอดของเขาเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปปอดของเขาก็ได้สะสมอาการบาดเจ็บทีละเล็กทีละน้อยมาเนิ่นนานจนทำให้ปอดของเขาอ่อนแอ และเป็นอันตราย”
“หากเป็นเช่นนั้น ปอดของฉันก็ได้รับความเสียหายเหมือนกันงั้นเหรอ?” เว่ยซีชิงถาม
“ในทางทฤษฎีแล้วใช่ แต่ฉันคิดว่าเธอไม่มีพลังมากพอที่จะทำให้ปอดของเธอเป็นอันตรายได้หรอกนะ” เฉินฟานยักไหล่
เว่ยซีชิงกลอกตามองไปที่เฉินฟานเมื่อเธอได้ยินว่าปอดของเธอไม่เป็นอันตรายเพราะเธออ่อนแอมากเกินไป
คุณเว่ยพยักหน้า “ก่อนที่จะเริ่มเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ พ่อ และแม่ของฉันก็ได้เตือนฉันถึงอันตรายจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเมื่อทำการโคจรพลังภายใน แต่ฉันไม่มีทางเลือก ถ้าฉันไม่ฝึกฝน ฉันก็ตาย เป็นเพราะเหตุนี้ฉันจึงไม่เคยสอนลูกๆเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของตระกูล ถ้าซีชิงไม่ยืนหยัดที่จะฝึกฝนให้ได้ ฉันก็พร้อมที่จะนำศิลปะการต่อสู้ของตระกูลฝังกลบไปกับฉันที่หลุมศพ” คุณเว่ยพูดขึ้นมา
“หนังสือเล่มนี้คืออะไร?” เว่ยซีชิงถามอย่างสงสัย
“หนังสือเล่มนี้คือศิลปะการต่อสู้ของตระกูลฉบับปรับปรุง ตอนนี้ศิลปะการต่อสู้ของตระกูลไม่มีอันตรายอีกต่อไปแล้ว” เฉินฟานพูด
“ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นอันตราย แต่มันยังทรงพลังมากกว่าศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของเรามาก ฉันขอนับถือความรอบรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของคุณ มิสเตอร์เฉิน!” เว่ยฝูพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ตระกูลเว่ยได้ปรับปรุงศิลปะการต่อสู้นี้มานานกว่าหลายร้อยปี แต่พวกเขาก็ล้มเหลวแม้กระทั่งการปรับปรุงเพื่อให้ปลอดภัยต่อผู้ฝึกฝนก็ยังไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มคนนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน และได้ปรับปรุงศิลปะการต่อสู้นี้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ฝึกฝน และแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณปู่ไปบอกเขาเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเราตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาเปลี่ยนแปลงศิลปะการต่อสู้ของเราโดยไม่ดูตำราของเราเลยงั้นเหรอ?” เว่ยซีชิงถามด้วยความสับสน
“นั่นคือความแตกต่างระหว่างเธอกับปรมาจารย์ยังไงล่ะ” เว่ยฝูส่ายหัว และกล่าวออกมาด้วยความชื่นชม “มีเพียงปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจถึงศิลปะการต่อสู้ได้ด้วยการมองแค่ดูครั้งเดียว พวกเขาเป็นอัจฉริยะแห่งศิลปะการต่อสู้ที่สามารถสร้างสำนักของตัวเอง และสร้างศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ขึ้นมา”
เฉินฟานโบกมือ และตอบ “อย่างที่ฉันพูด ฉันเป็นแค่นักบวชไม่ใช่ปรมาจารย์”
“ถ้าคุณสามารถทำสิ่งที่ปรมาจารย์สามารถทำได้ แล้วชื่อเรียกขานจะไปมีความสำคัญอันใด?” เว่ยฝูหัวเราะ
“ฉันไม่คาดหวังว่าคุณจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้” หลังจากได้รับความเชื่อมั่นจากคุณปู่ของเธอ เว่ยซีชิงที่ไม่เคยชอบเฉินฟานมาก่อนก็เริ่มมีความรู้สึกเคารพต่อชายหนุ่มคนนี้มากยิ่งขึ้น
เฉินฟานยิ้ม และพูด “อ่า นี่เป็นเม็ดยาฟื้นฟูความแข็งแกร่งระดับต่ำ 10 เม็ด” เฉินฟานหยิบขวดแก้วออกมาจากกระเป๋า และส่งมันให้กับเว่ยซีชิง “ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณปู่ของเธอกินยานี้ทุกสองสามวัน ด้วยความช่วยเหลือของศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ ปู่ของเธอก็น่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
“ถ้าฉันมีเงินมากกว่านี้ ฉันก็จะสามารถสร้างเม็ดยาฟื้นฟูความแข็งแกร่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้ เม็ดยาเหล่านี้ทรงพลังมาก มันสามารถนำคนตายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง และรักษาอาการบาดเจ็บต่างๆได้”
“เรื่องจริงงั้นเหรอ?” เว่ยซีชิงจับขวดแก้วราวกับสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นเธอก็หันไปหยอกเย้าเฉินฟาน “นี่คุณกำลังหลอกขายน้ำมันงูให้กับเราอยู่รึเปล่า?”
(น้ำมันงูเป็นยาแผนโบราณที่ชาวจีนรู้จักกันดีมานานนับพันปี มันเป็นน้ำมันสกัดจากงูสายรุ้ง งูที่มีพิษอ่อนมากอาศัยอยู่ในน้ำ มีสรรพคุณในการรักษาอาการเคล็ดยอกกล้ามเนื้อ และปวดเมื่อยตามร่างกาย)
“ก็แล้วแต่จะคิด” เฉินฟานยักไหล่ให้เธอในขณะที่เว่ยซีชิงทำหน้ามุ่ย
‘หมอนี่กวนโอ้ยมาก’ เว่ยซีชิงสาปแช่งอยู่ในใจ ‘ทำไมเขาถึงต้องถูกอยู่เสมอ? เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการพูดคุยกับผู้หญิงงั้นเหรอ?’
“ฉันไม่คิดว่านี่เป็นน้ำมันงู ทำไมคุณถึงไม่บอกเราว่าต้องใช้ส่วนผสมอะไรบ้างในการทำเม็ดยาเหล่านั้น บางทีเราอาจสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้” คุณเว่ยพูดขึ้นมา
“แน่นอน ฉันสามารถมอบสูตรให้แก่คุณได้ แต่นอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้วิธีทำเม็ดยาเหล่านั้น” เฉินฟานตอบกลับอย่างสบายอารมณ์
จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษออกมาหนึ่งชิ้นแล้วจดรายการส่วนผสม
การสร้างเม็ดยาจากการสกัดวิญญาณจำเป็นต้องใช้ผู้บ่มเพาะที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษซึ่งสามารถพบเห็นได้จากผู้บ่มเพาะระดับสูงเท่านั้น หากปราศจากผู้บ่มเพาะ ส่วนผสมราคาแพงก็เปล่าประโยชน์
คุณเว่ยทำทำการตรวจสอบส่วนผสม และพบว่าเม็ดยานี้ไม่เพียงแต่ต้องการสมุนไพรที่หายากบางตัว แต่สมุนไพรเหล่านี้จำเป็นต้องมีอายุมากกว่าสองถึงสามร้อยปีอีกด้วย แม้แต่ตระกูลเว่ยก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการรวบรวมสมุนไพรเป็นเวลาซักพัก คุณเว่ยพยักหน้าแล้วส่งรายชื่อไปให้เสี่ยวฉี จากนั้นเขาก็สั่งให้เสี่ยวฉีเริ่มออกไปค้นหา และรวบรวมสมุนไพรเหล่านั้น
“ฉันได้ทำส่วนของฉันเสร็จแล้ว ตอนนี้ฉันมีคำถามบางอย่างที่จะถามคุณเกี่ยวกับโลกของศิลปะการต่อสู้ และวิธีการทำงาน” เฉินฟานพูด
เว่ยฝูพยักหน้า และพูด “ฉันรู้ว่าคุณจะต้องถามเรื่องนี้”
----------------------------------------------------------------------------
มีอะไรพูดคุยได้ที่ Rebirth Of The Urban Immortal Cultivator ขอบคุณครับ