px

เรื่อง : ทุ่งรวงทอง (นิยายแปล)**จบแล้ว**
Re-new ตอนที่ 34  เรียนหมอ


ตอนที่ 34  เรียนหมอ

 

ร้านยาถงเหรินเป็นร้านยาที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในเมือง กล่าวกันว่าหมอซุนเจ้าของร้านยาแห่งนี้เกิดในตระกูลหมอหลวงของราชวงศ์ก่อนและมีความสามารถทางด้านการแพทย์สูงเป็นอย่างมาก แม้แต่ชนชั้นสูงจากเมืองหลวงก็ยังเดินทางมาให้เขาตรวจถึงที่นี่

 

ทันทีที่หยูเสี่ยวเฉาเข้าไปในร้าน นางก็เห็นหมอแก่ ๆ ผมและเคราสีขาวที่ดูเหมือนนักปราชญ์คนหนึ่งกำลังจับชีพจรของคนไข้อยู่

 

[ พลังวิญญาณ ! มีพลังวิญญาณไปเต็มไปหมด ! ]  หินศักดิ์สิทธิ์รีบพุ่งเข้าไปที่ตู้ยาและไปเกาะติดอยู่กับตู้ที่มีพลังวิญญาณรุนแรงมากที่สุด

 

“เด็กน้อย เจ้าไม่สบายตรงไหนรึ ? ” หลังจากที่หมอเขียนใบสั่งยาสำหรับคนไข้คนนั้นเสร็จและสั่งนักเรียนของเขาให้ไปหยิบยาแล้ว เขาจึงได้มีเวลาหันมาทักทายหยูเสี่ยวเฉา

 

ฉีโตวตอบอย่างกังวลว่า “ท่านปู่ขอรับ พี่สาวของข้าได้รับบาดเจ็บที่หัวเมื่อ 3 เดือนก่อนจนเกือบตาย พอฟื้นขึ้นมานางก็จำอะไรมิได้เลย ท่านปู่ช่วยตรวจดูพี่สาวของข้าให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ ? ”

 

หมอซุนเห็นเด็กน้อยหน้าตาดีพูดจาสุภาพจึงยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า “นั่งลงสิ ให้ข้าลองจับชีพจรดูหน่อย”

 

สุขภาพของหยูเสี่ยวเฉาเมื่อก่อนนี้น่าเป็นห่วงมากจริง ๆ หลังคลอดออกมานางก็มีอาการป่วยหนักอยู่ตลอด ตอนนั้นหมอซุนเป็นคนช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่เขาก็ยืนยันว่าเสี่ยวเฉาอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 10 ปีหากไม่คอยดูแลรักษากันให้ดี

 

แต่หยูเสี่ยวเฉาดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์บำรุงร่างกายทุกวัน อาการป่วยใกล้ตายของนางจึงหายไปแล้ว ดังนั้นนอกจากขาดการออกกำลังกายแล้ว ร่างกายของนางก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก สุขภาพของนางแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก

 

ยังไงเสียหมอซุนก็เคยเป็นหมอหลวงมาก่อน หลังจากจับชีพจรและตรวจดูบาดแผลที่ศีรษะของนางแล้ว เขาก็พูดว่า “เจ้ามีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด แต่มีผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ยาที่ได้ผลดีบำรุงร่างกายของเจ้า ตอนนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้นมาก แต่ต้องใช้แรงหรือออกกำลังให้มากกว่านี้อีกเสียหน่อย อย่ามัวขลุกอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน”

 

“ส่วนเรื่องความจำ ข้าเคยเห็นกรณีที่เหมือนเจ้ามาก่อน คาดว่าเจ้าน่าจะมีลิ่มเลือดอยู่ในหัวแล้วมันคงไปกดทับเส้นประสาท แต่ดูจากชีพจรของเจ้าแล้ว มันไม่เหมือนมีปัญหาใหญ่อะไรเลย ลิ่มเลือดน่าจะสลายไปตามเวลา แล้วเจ้าจะค่อย ๆ ฟื้นความทรงจำกลับมาได้เอง”

 

จ้าวฮันเริ่มร้อนใจเมื่อได้ยินว่ามีลิ่มเลือด “ท่านหมอขอรับ มียาอะไรที่ช่วยให้ลิ่มเลือดหายไปเร็วกว่านี้หรือไม่ขอรับ ? ”

 

หมอซุนมองเสื้อผ้าเก่า ๆ ของสองพี่น้องแล้วส่ายหน้า “ยาทุกอย่างจะมีบางส่วนที่เป็นพิษ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ากินเลยจะดีกว่า”

 

นอกจากนั้นยาก็แพงมากอีกด้วย ถ้าใช้เพียงแค่ชั่วครู่มันก็จะไม่ได้ผล แต่ครอบครัวของเด็กหญิงคนนี้ก็คงไม่มีปัญญาจ่ายค่ายาแพง ๆ เป็นเวลานานหรอกมิใช่รึ ? ถึงยังไงก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังเด็กมาก จำอดีตไม่ได้ก็ไม่ได้ส่งผลมากนักมิใช่รึไง ?

 

หยูเสี่ยวเฉาพอจะเดาความคิดของหมอซุนได้ นางจึงพูดขึ้นว่า “ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านปู่ ! ท่านปู่พูดแบบนี้ข้ากับครอบครัวของข้าก็สบายใจแล้ว ค่าตรวจเท่าใดรึเจ้าคะ ? ”

 

“ข้ามิได้สั่งยาอะไรเลย ไม่ต้องจ่ายหรอก เด็กน้อย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าคนที่ช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ” หมอซุนอดรู้สึกชื่นชมหมอที่เก่งกาจคนนั้นไม่ได้

 

เมื่อได้ยินว่าพี่สาวของเขาสบายดี ฉีโตวก็รู้สึกโล่งอกและร่าเริงขึ้นอีกครั้ง “ท่านปู่ขอรับ ปกติหมอโหยวที่หมู่บ้านตงชานเป็นคนดูแลสุขภาพของพี่รอง เขาเก่งมาก ๆ เลยขอรับ พี่สามได้แผลใหญ่ที่หัว เลือดไหลอาบหน้า แต่หมอโหยวรักษาเพียงไม่กี่วันพี่สามก็หายแล้วขอรับ ! ”

 

“หมู่บ้านตงชาน ? โหยวหย่งรึ ? ” หมอซุนอดหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวไม่ได้  โหยวหย่งเป็นหมอชาวบ้านที่เรียนยากับเขาอยู่ช่วงหนึ่ง เขาจึงรู้ถึงระดับความสามารถทางการแพทย์ของโหยวหย่งดีกว่าใคร เขาไม่เชื่อเด็ดขาดเลยว่าโหยวหย่งจะรักษาอาการบาดเจ็บถึงตายได้ด้วยทักษะทางการแพทย์อันอ่อนด้อยของเขา

 

อย่างไรเสีย เขาก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าพวกเขาไม่อยากบอกแล้วจะบังคับพวกเขาไปทำไม ?

 

หินศักดิ์สิทธิ์ดูดพลังจากแหล่งพลังที่รุนแรงที่สุดเสร็จแล้ว มันส่งเสียงเรอออกมาอย่างพอใจ แต่มันก็ยังไม่รู้จักพอและอยากดูดซับพลังเพิ่มอีก ไม่ว่ายุงจะตัวเล็กแค่ไหนมันก็ยังมีเนื้อ อย่างน้อยการดูดซับพลังก็เป็นวิธีการเพิ่มพลังที่ง่ายกว่าการแช่น้ำ

 

หยูเสี่ยวเฉาถึงกับปากกระตุกเมื่อเห็นมันออกจากตู้ ‘โสม’ ไปที่ตู้ ‘เห็ดหลินจือ’  ตายแล้ว ! หมอคนนี้เป็นหมอที่เก่งและมีเมตตา ถ้าเขาเสียสมุนไพรมีค่าไปเพราะนางแล้วล่ะก็ นางก็จะกลายเป็นคนชั่วร้ายไม่สำนึกบุญคุณมิใช่รึ

 

หยูเสี่ยวเฉาห้ามเจ้าหินศักดิ์สิทธิ์อย่างเข้มงวด นางขอบคุณท่านหมอหลายครั้งแล้วรีบออกจากร้านยาพร้อมกับน้องชายของนางทันที

 

[ ไฟลนก้นเจ้าอยู่รึไงกัน ? รอจนข้าดูดพลังเสร็จค่อยออกไปไม่ได้รี ? ] หินศักดิ์สิทธิ์เริ่มหงุดหงิด ถ้ามันได้ร่างวิญญาณมาแล้ว มันคงจะข่วนนางแน่ พลังวิญญาณอันล้ำค่าของมัน การฟื้นพลังของมัน...

 

หยูเสี่ยวเฉาทำหน้านิ่ง นางพูดกับเจ้าหินไร้เหตุผลในใจ  [ ไปทำลายสมุนไพรของคนอื่นเขาแบบนั้นยังคิดว่าตัวเองทำถูกอยู่อีกรึ ? ]

 

[ ข้าไปทำลายสมุนไพรของคนอื่นตอนไหนกัน ? เจ้ามนุษย์โง่เง่า ! คิดว่าพอข้าดูดพลังของมันแล้วมันจะใช้การไม่ได้เยี่ยงนั้นรึ ? เหลวไหล ! พลังงานวิญญาณที่ข้ากินน่ะมนุษย์อ่อนแออย่างเจ้าใช้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เก็บเอาไว้ก็เสียของเปล่า ๆ ! ]

 

[ ถ้าไม่หุบปาก ข้าจะไม่พาเจ้ามาที่ร้านยานี้อีก ! ] ในฐานะเจ้านาย นางมีวิธีของตัวเองในการควบคุมมันอยู่ ง่ายจะตายไป !

 

หินศักดิ์สิทธิ์นิ่งอึ้งไปแวบหนึ่ง แต่มันก็ปรับตัวตามสถานการณ์ได้และเริ่มทำตัวน่ารัก [ เจ้านาย ท่านช่างเป็นเจ้านายที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ! ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร !  น่าทึ่งยิ่งกว่าเทพีแห่งวิญญาณและแข็งแกร่งกว่าเง็กเซียนฮ่องเต้... ]

 

[ หยุด หยุดเลย ! เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ! พูดแบบคนปกติไม่ได้หรือเยี่ยงไร ?   เจ้าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของใครได้ถ้าไม่รู้วิธีประจบคนน่ะ ? ] หยูเสี่ยวเฉาแสดงท่าทีวางมาดแบบสุดๆ

 

‘สัตว์เลี้ยง ? เจ้าสิสัตว์เลี้ยง ตระกูลเจ้าทั้งตระกูลก็เป็นสัตว์เลี้ยง ! ’ หินศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าบึ้งและบ่นพึมพำ [ ให้เลียแข้งเลียขางั้นรึ ? ขาเหม็น ๆ สกปรก ๆ แล้วเหตุใดข้าจะต้องเลียด้วย... ]

 

หยูเสี่ยวเฉาทะเลาะกับหินศักดิ์สิทธิ์ไปตลอดทางและไปถึงสถานที่ที่พวกเขานัดพบกับเฒ่าจางอย่างรวดเร็ว

 

เฒ่าจางส่งฟืนเสร็จแล้วและกำลังรอพวกเขาอยู่ หยูเสี่ยวเฉาทักทายเขาอย่างอ่อนหวานและส่งถุงขนมให้กับเขา “ท่านปู่จางคะ เราโชคดีที่เจอท่านปู่เข้าพอดี เยี่ยงนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะเดินมาถึงเมืองไหวหรือไม่ ? นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกเรา ท่านปู่โปรดรับไว้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

 

แม้ว่าขนมถุงเล็ก ๆ จะไม่ได้แพงมากมายอะไร แต่เฒ่าจางก็รู้ว่าต่อให้เขาขายฟืนมาได้ก็คงไม่มีปัญญาซื้ออย่างแน่นอน สำหรับเด็ก ๆ นั้นการหาเงินมิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธ

 

“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าคนแก่ ๆ อย่างปู่จะชอบกินขนม ? พวกเจ้าเก็บไว้กินกันเองเถอะ เฉาเอ้อร์ เจ้ายังต้องกินยาอยู่หรือไม่ ? เก็บเอาไว้กินหลังกินยาขม ๆ มันช่วยได้มากเลยนะ ! ”

 

เมื่อเกวียนวัวเริ่มเคลื่อนที่เกวียนก็เริ่มสั่น หยูเสี่ยวเฉาไม่รับขนมที่เฒ่าจางส่งคืนมาให้ แล้วชี้ไปที่ถุงอีกถุงในมือของน้องชาย “ข้าหยุดกินยามานานแล้วเจ้าค่ะ อีกทั้งพวกเรายังมีอีก ! ท่านปู่เอากลับไปให้หลานชายของท่านปู่กินก็ได้เจ้าค่ะ ! ”

 

ปฏิเสธอยู่สักพักเฒ่าจางก็ต้องยอมรับถุงขนมไปอย่างช่วยไม่ได้ ‘เฒ่าหลิวมีหลานสาวที่ดีจริง ๆ ! ทั้งฉลาดและมีน้ำใจ สวรรค์ได้โปรดให้เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่นาน ๆ ด้วยเถิด’

 

“เฉาเอ้อร์ ปู่จางมาส่งฟืนที่เมืองทุก ๆ 2 วัน ถ้าเจ้าอยากเข้าเมืองก็ไปรอที่สี่แยก ปู่จะออกเดินทางหลังจากมื้ออาหารเช้า”

 

เสี่ยวเฉาได้ขึ้นเกวียนฟรีแลกกับขนมหนึ่งถุง คุ้มค่าอย่างแท้จริง !

 

หลังจากกล่าวลาเฒ่าจางแล้ว พวกเขาก็เดินต่อไปอีกไกลพอสมควร ท้องฟ้ามืดแล้วในตอนที่เด็กทั้งสามมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน

 

ในยุคโบราณไม่มีความบันเทิงอะไรให้ผู้คนมากนัก ปกติพวกเขาจะเริ่มทำงานกันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและพักผ่อนกันตอนพระอาทิตย์ตก ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่มีชาวบ้านให้เห็นมากนัก

 

“คนข้างหน้านั่นดูเหมือนท่านหมอโหยวเลย” จ้าวฮันตาดีสุดและจำร่างมืด ๆ ที่เห็นอยู่ไกล ๆ ได้

 

พวกเขารีบเดินเข้าไปหาหมอโหยวทันที หยูเสี่ยวเฉาทักทายผู้มีพระคุณของนางอย่างอบอุ่น “ท่านปู่โหยวไปไหนมารึเจ้าคะ ? ”

 

“อ้าว ! เสี่ยวเฉา ! เจ้าเพิ่งกลับมาจากในเมืองรึ ? ” หมอโหยวมองสองพี่น้องอย่างใจดีและตอบอย่างมีความสุขว่า “ปู่เพิ่งลงมาจากภูเขาน่ะ”

 

จ้าวฮันพูดต่อว่า “ท่านหมอโหยว เหตุใดวันนี้ถึงลงมาช้าล่ะขอรับ ? ข้าเคยเตือนแล้วนี่ว่าบนภูเขามีสัตว์ป่าอยู่มากมาย ยิ่งยามโหย่วยิ่งอันตรายนะขอรับ”

 

“พอดีวันนี้ข้ามัวแต่หาสมุนไพรเพลินน่ะ จะไม่ทำอีกแล้วล่ะ ” หมอโหยวตอบ

 

“ท่านปู่โหยวขอรับ ท่านปู่บอกพวกเราได้นะขอรับว่าอยากได้สมุนไพรอะไร พวกเราไปวางกับดักบนภูเขากับท่านพี่ฮันบ่อย ๆ ถ้าพวกเราเห็นพวกเราจะได้เก็บมาให้ได้ขอรับ ! ” ฉีโตวแนะนำอย่างฉลาด

 

หมอโหยวลูบเคราแล้วหัวเราะ “เจ้าหนูเจ้าจำสมุนไพรได้รึ ? มิใช่ว่าจะเอาพวกวัชพืชกลับมาหรอกรึ ? ”

 

“หากข้าจำมิได้ท่านปู่โหยวก็สอนพวกเราสิขอรับ ! พี่สามบอกว่าข้าฉลาดมาก  อีกทั้งตอนนี้ข้าจำตัวอักษรได้เกิน 200 ตัวแล้วด้วย ! ” ฉีโตวยืดอกตอบอย่างมั่นใจ

 

เมื่อได้ยินคำแนะนำของฉีโตว หยูเสี่ยวเฉาก็คิดถึงน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา นางอาจจะช่วยคนที่นางห่วงใยได้อย่างเปิดเผยด้วยวิธีนี้ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงพูดขึ้นมาว่า “ท่านปู่โหยวเจ้าคะ ขอข้าเรียนหมอกับท่านปู่ได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”

 

หมอโหยวเฝ้ามองเสี่ยวเฉาเติบโตขึ้นมา เขาห่วงใยเด็กหญิงคนนี้ยิ่งกว่าหลานของตัวเองเสียอีก ในใจของเขาหยูเสี่ยวเฉาก็เป็นเหมือนหลานแท้ ๆ ของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเลเลยสักนิด “ได้สิ ! หากเจ้าไม่คิดว่ามันน่าเบื่อ เยี่ยงนั้นก็เริ่มเรียนจากการแยกแยะสมุนไพรก่อนเลย ! ”

 

แม้ว่าเขาจะโม้ว่าตัวเองเป็นศิษย์ของหมอซุนแห่งร้านยาถงเหริน แต่เขาก็ได้เรียนมาแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น ความรู้ทางการแพทย์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจะสอนให้กับลูกชายเท่านั้น มิใช่ลูกสาว ยิ่งคนนอกมิต้องพูดถึงเลย

 

ดังนั้นหมอโหยวจึงได้เรียนแค่ความรู้ขั้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังซ่อนเร้น ถ้าอยากเรียนกับเขา เขาก็มิได้หวงวิชาแต่อย่างใด

 

หยูเสี่ยวเฉากับน้องชายของนางเป็นห่วงเจ้ากวางโร พวกเขาจึงกล่าวลาหมอโหยวและไปที่บ้านของจ้าวฮันทันที ป้าจ้าวได้ทอดถั่วเฮเซลนัทเอาไว้แล้ว นางเอาใส่เสื้อด้านหน้าของสองพี่น้องแล้วพูดว่า “กินกันก่อนสิ ถ้าเอากลับบ้านเยอะเกินไป ประเดี๋ยวก็มีคนแย่งเอาไปอีก ! ป้ายังมีอีกเยอะ ถ้าอยากกินอีกพรุ่งนี้ก็มากินที่นี่ ! ”

 

หยูเสี่ยวเฉารับคำเสียงดัง ในใจของนางครอบครัวของท่านป้าจ้าวสำคัญกว่าคนบางคนที่ได้ชื่อว่าญาติของนางเสียอีก ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเอื้อเฟื้อกับญาติตัวเองมากจนเกินไป

 

หยูเสี่ยวเฉาถือเฮเซลนัทด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็เอาเฮเซลนัทใส่ปาก  นางกะเทาะเปลือกออกแล้วกินเนื้อข้างในอย่างมีความสุข บางครั้งนางก็จะเอาเฮเซลนัทใส่ปากน้องชายหลังกะเทาะเปลือกออกแล้ว

 

ส่วนเจ้ากวางโรซื่อบื้อนั้นพวกเขาไม่ต้องห่วงอะไรมันเลย แค่พรมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์บนกางเกง เจ้าตัวเล็กก็เดินตามพวกเขาต้อย ๆ เสียแล้ว มันว่าง่ายยิ่งกว่าฉีโตวเสียอีก

 

“เฉาเอ้อร์ ! ฉีโตว ! เหตุใดพวกเจ้าถึงออกไปเล่นกันจนมืดค่ำเอาป่านนี้ ? นี่ยังมิได้กินข้าวเย็นกันใช่หรือไม่ ? ” เงาร่างสูงปรากฏขึ้นบนเส้นทางที่นำไปสู่บ้านของพวกเขา ท่านพ่อกลับมาถึงบ้านก่อนจริง ๆ ด้วย เขาช่างเดินได้เร็วมากจริง ๆ !

 

รีวิวผู้อ่าน