ตอนที่ 48 หมอตรวจสุขภาพ
“เอ่อ......”
ที่จริงตงฟางเหลียงถูกต้าเหมากับเอ้อร์เหมาทำร้าย เฝิงเทียนต๋าคิดที่จะให้การปฏิเสธ แต่ก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมไม่ได้
“คุณตำรวจ คุณไม่ต้องถามเขาหรอก ผมมีพยานอยู่ที่นี่” ฉินห้าวตงพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังกลุ่มผู้คนที่ดูอยู่ข้างเฝิงเทียนต๋าและตะโกนถามว่า “ทุกคนบอกหน่อยซิว่าผู้ชายคนนี้ลวนลามผู้หญิงต่อหน้าสาธารณะชนจริงไหม?”
“ใช่!”
ทุกคนตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
คนเหล่านี้ที่เพิ่งได้รับผลประโยชน์จากฉินห้าวตง ดอกกุหลาบในมือล้วนเป็นสายพันธุ์ที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ถ้าไปซื้อที่ร้านขายดอกไม้ หนึ่งดอกอย่างต่ำก็สิบหยวน ถึงแม้ว่าเจ้าของตัวจริงจะเป็นเฝิงเทียนต๋า แต่ว่าฉินห้าวตงมอบให้พวกเขาแล้ว ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่ซาบซึ้งในตัวเฝิงเทียนต๋า ในทางกลับกันพวกเขากลับชื่นชมความมีน้ำใจของฉินห้าวตง
น่าหลันอู๋เซี๋ยตกใจกับเสียงตะโกนของทุกคนไปครู่หนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนสนับสนุนฉินห้าวตงมากมายขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เข้าใจว่าทำไมในมือของทุกคนต่างก็ถือดอกกุหลาบคนละกำ วันนี้ก็ไม่ใช่วันวาเลนไทน์นี่?
“ทุกคนบอกหน่อยว่า นี่เป็นการรวมตัวกันของพวกอันธพาลเพื่อมารังแกคนอื่น ทะเลาะวิวาทกับคนอื่นใช่ไหม?”
ฉินห้าวตงยังคงตะโกนถามไม่หยุด
“ใช่!”
ครั้งนี้เสียงโห่ร้องของฝูงชนดังขึ้นอย่างท่วมท้น ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้ค่อยๆ เดินมารวมตัวกัน
“สำหรับอันธพาลแบบนี้ สมควรถูกจับกุมและถูกลงโทษตามกฎหมายอย่างหนักใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
ผู้คนรอบข้างตอบรับเป็นเสียงเดียวกันอีกครั้ง
ฉินห้าวตงหันหน้ากลับมาแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนานพลางพูดกับน่าหลันอู๋เซี่ยว่า “คุณตำรวจ เธอก็เห็นแล้วนี่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นพยานของฉัน นี่ก็คือเสียงเรียกร้องของประชาชน และก็คือความคิดเห็นของประชาชน!”
เดิมทีในใจของน่าหลันอู๋เซี๋ยก็เอนเอียงไปทางฉินห้าวตงอยู่แล้ว หลังจากเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ จึงชี้ไปที่กลุ่มของเฝิงเทียนต๋าแล้วออกคำสั่งว่า “นำตัวเขาไป!”
“ไม่ยุติธรรม นี่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เขาก็ทำร้ายคนของฉันเหมือนกัน” เฝิงเทียนต๋าชี้ไปที่ต้าเหมาและเอ้อร์เหมาที่อาเจียนเป็นเลือดอยู่อีกด้าน พลางพูดขึ้นว่า “คุณดูสิ พวกเขาถูกทำร้ายจนสาหัสขนาดนี้!”
“พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย เขาทำแบบนี้เรียกว่าป้องกันตัวเองตามกฎหมาย” น่าหลันอู๋เซี๋ยพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “พาตัวไป!”
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว ตำรวจสองนายก็รีบนำตัวเฝิงเทียนต๋าขึ้นไปบนรถตำรวจ
เมื่อเห็นว่าเจ้านายถูกตำรวจจับไปแล้ว บอดี้การ์ดลูกน้องของเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก พวกเขาหามต้าเหมากับเอ้อร์เหมาที่นอนอยู่บนพื้นขึ้น และประคองบอดี้การ์ดที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บ ออกไปจากที่นี่อย่างอับอาย
หลินโม่โม่ที่อยู่ด้านนี้มองดูฉินห้าวตงจัดการเรื่องพวกนั้น ในแววตาของเธอเปล่งประกายอยู่แวบหนึ่ง หนุ่มน้อยคนนี้ของเธอถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไร้สาระไปวันๆ แต่ว่าหากลองคิดอย่างถี่ถ้วนเขาค่อนข้างจะเป็นคนมีระเบียบแบบแผนเลยทีเดียว เขาสามารถจับประเด็นสำคัญของทุกเรื่องได้ ทำให้เฝิงเทียนต๋าผู้มีชื่อเสียง ได้รับการลงโทษอย่างน่าเวทนา และทำให้เฝิงเทียนต๋าไม่กล้าพูดถึงเขาอีก
แม้จะจับกุมเฝิงเทียนต๋ามายังฝ่ายสอบสวนคดีอาญาแล้วแต่เป็นเพราะอิทธิพลของตระกูลเฝิง ทำให้ทางตำรวจทำอะไรเขาไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ลิ้มรสชาติของการเผชิญหน้ากันในวันนี้แล้วว่าบริษัทหลินชื่อกรุ๊ปได้รับชัยชนะ ส่วนเกียรติของตระกูลเฝิงนั้นพ่ายแพ้
หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว น่าหลันอู๋เซี๋ยกระซิบข้างหูฉินห้าวตงว่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายก่อเรื่องอะไรนะ ครั้งนี้ถือว่าฉันช่วยนายแล้วกัน จำไว้ว่านายติดหนี้น้ำใจฉัน!”
“รู้แล้ว รู้แล้ว ขอบคุณมากๆ ให้ฉันแต่งงานกับเธอเป็นการตอบแทนไหม?” ฉินห้าวตงพูดอย่างหน้าไม่อาย
“แต่งงานกับผีน่ะสิ!”
น่าหลันอู๋เซี๋ยพูดแล้วหันไปเหยียบเข้าที่เท้าของฉินห้าวตงโดยทำทีเหมือนไม่ได้เจตนา ตอนนี้รองเท้าส้นสูงที่สูงกว่าสิบเซนติเมตรเหยียบเท้าของฉินห้าวตงจนเขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เฝิงเทียนต๋าถูกตำรวจนำตัวไปแล้ว คนที่มาดูความสนุกตื่นเต้นก็ไปหมดแล้ว หลินโม่โม่และฉินห้าวตงจึงเข้าไปในอาคารสำนักงานของหลินชื่อกรุ๊ปด้วยกัน
เมื่อมาถึงห้องทำงานของประธานแล้ว หลินโม่โม่จึงพูดกับฉินห้าวตงว่า “วันนี้ขอบคุณคุณมากนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้ได้อย่างไร!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มตระกูลเฝิงจะมายุ่งกับผู้หญิงของผมอย่างเปิดเผยแบบนี้ ผมไม่หักขาเขาก็นับว่าใจดีกับเขาแค่ไหนแล้ว”
“คุณ......” ได้ยินฉินห้าวตงเรียกตัวเองว่าเป็นผู้หญิงของเขา แก้มหลินโม่โม่ก็เริ่มแดง “เอาแต่ล้อเล่น รีบไปทำงานเลย ไม่อย่างนั้นฉันจะหักเงินเดือนเดือนนี้ของคุณ”
พูดจบเธอก็ยกโทรศัพท์ภายในบนโต๊ะขึ้นมา กดปุ่มตัวเลขสองสามตัว ไม่นานผู้ช่วยประธานอันปี้หรูก็เดินเข้ามาจากห้องข้างๆ
หลังจากเห็นฉินห้าวตง อันปี้หรูเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายพูดทักทายเขาก่อน “คุณหมอฉิน คุณมาแล้ว!”
“ไม่เพียงแค่มาแล้ว ยังไม่ไปไหนด้วย!” ฉินห้าวตงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะมาเป็นหมอตรวจสุขภาพประจำบริษัทของเรา” หลินโม่โม่พูดขึ้น “พี่อัน ช่วยพาคุณหมอฉินไปที่ห้องแผนกการแพทย์ด้วย หลังกับมาฉันมีเรื่องจะปรึกษากับพี่”
อันปี้หรูพยักหน้า พาฉินห้าวตงไปจากห้องทำงานประธาน
“คุณหมอฉิน คุณมาถึงที่บริษัทของเราได้อย่างไร? ด้วยทักษะทางการแพทย์ของคุณจะมาเป็นหมอสุขภาพที่มีแต่งานง่ายๆ มันไม่ต่างอะไรจากการใช้คนไม่เหมาะสมกับงานเลยนะ”
แน่นอนว่าฉินห้าวตงไม่สามารถพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับหลินโม่โม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องใส่ใจหรอก ถึงอย่างไรผมก็มาฝึกงานช่วงวันหยุด พอหาเงินค่าเรียนได้บ้างก็ดีแล้ว”
แผนกการแพทย์อยู่ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงานหลินชื่อกรุ๊ป ขณะที่อันปี้หรูนำฉินห้าวตงเข้าประตูไป ผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยกำลังเล่นเกมโทรศัพท์มือถืออยู่
เมื่อเห็นอันปี้หรูเข้ามา ชายอ้วนรีบเก็บโทรศัพท์มือถือทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าประจบประแจงว่า “ผู้ช่วยอัน คุณมาแล้วเหรอครับ! มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า? ต้องการยาอะไรไหมครับ ผมจะไปหยิบมาให้!”
“ฉันมาส่งคน!” อันปี้หรูพูดแล้วก็แนะนำฉินห้าวตงและคุณหมออ้วนให้รู้จักกัน “ท่านนี้คือจางจื้อเจี๋ยหรือคุณหมอจาง ท่านนี้คือฉินห้าวตงหรือคุณหมอฉิน เพิ่งมาทำงานที่หลินชื่อกรุ๊ปของพวกเรา”
“พ่อหนุ่ม ยินดีต้อนรับ!” เหตุผลอาจเป็นเพราะอันปี้หรูมาส่งด้วยตัวเอง จางจื้อเจี๋ยจึงจับมือฉินห้าวตงอย่างกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“พี่จาง หลังจากนี้ต้องขอให้ช่วยดูแลผมอีกมาก” ฉินห้าวตงก็เกรงใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
หลังจากได้ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว อันปี้หรูก็เดินออกจากห้องการแพทย์ไป
เมื่อเห็นอันปี้หรูไปแล้ว จางจื้อเจี๋ยก็พูดกับฉินห้าวตงว่า “เสี่ยวฉิน จบมาจากมหาวิทยาลัยไหนหรอ?”
“พี่จาง ผมยังเรียนไม่จบครับ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่สี่”
“อ้อ!”
สีหน้าของจางจื้อเจี๋ยเผยให้เห็นว่าเขาเข้าใจดีทุกอย่าง ในความคิดของเขา ฉินห้าวตงคงใช้เส้นสายอะไรบางอย่างมาที่นี่เพื่อคั่นเวลา รอเปิดเรียนก็ไปแล้ว คงอยู่ได้ไม่นาน
“เสี่ยวฉิน มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจะขอพูดกับนาย งานของพวกเราที่ห้องการแพทย์นี้ไม่หนัก นายไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่มีบางอย่างที่จะต้องจำเอาไว้ว่า พยายามอย่ารักษาโรคเด็ดขาด”
“ทำไมเหรอครับ? พวกเราไม่ใช่หมอหรอกเหรอครับ?” ฉินห้าวตงถามอย่างแปลกใจ
“หมออย่างพวกเราอยู่ในระดับไหนนายและฉันต่างก็รู้ดี โรคหลายอย่างรักษาไม่หายโดยสิ้นเชิง คุณหมอหลิวที่เพิ่งลาออกไป ก็เป็นเพราะวินิจฉัยโรคผิด เกือบจะทำให้คนงานของบริษัทเราต้องตาย และเกือบทำให้แผนกการแพทย์ของพวกเราต้องถูกปิด”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของจางจื้อเจี๋ยแสดงออกถึงความขุ่นเคือง ถ้าหากว่าแผนกการแพทย์ต้องปิดลงก็จะทำให้เขาตกงาน หมอประเภทที่มีความรู้งูๆปลาๆ แบบเขานั้นถ้าต้องออกจากแผนกการแพทย์ไป ก็คงจะหางานดีๆ แบบนี้ไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว
“หน้าที่ความรับผิดชอบอย่างแผนกการแพทย์ของพวกเราคือพนักงานของหลินชื่อกรุ๊ปเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายตรงไหนไม่สบายก็ให้ยาไป พวกเขาอยากได้อะไร พวกเราก็ให้เขาไป ไม่จำเป็นต้องทำให้มีปัญหา......”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดออก มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุราวสามสิบกว่าเดินเข้ามาในห้อง
ผู้หญิงคนนี้โดยทั่วไปค่อนข้างดูดี ทว่าสีหน้าดูห่อเหี่ยวไม่เบิกบาน ให้ความรู้สึกไม่น่าคบค้าสมาคมเป็นอย่างมาก ในเวลานี้เธอใช้มือมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกไว้ คิ้วขมวดเข้าหากัน ดูท่าว่าจะไม่สบาย
“หัวหน้าจาง คุณไม่สบายตรงไหนครับ?”
จางจื้อเจี๋ยรีบไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผู้หญิงคนนี้เป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินของหลินชื่อกรุ๊ปมีชื่อว่าจางหว่านลู่ เธอคือหนึ่งในคนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในบริษัทนี้ และยังขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ร้ายอีกด้วย ตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง
จางหว่านลู่พูดขึ้นว่า “ฉันรู้สึกอึดอัดตรงหัวใจ หัวใจเต้นเร็วเกิน รีบไปหยิบยาบรรเทาอาการเต้นของหัวใจมาให้ฉันหน่อย”
“รอก่อนนะครับ ผมจะไปหยิบมาให้คุณ”
จางจื้อเจี๋ยพูดจบก็วิ่งไปที่ตู้ยา หยิบเอายาที่ช่วยบรรเทาอาการเต้นของหัวใจส่งให้จางหว่านลู่
จางหว่านลู่เปิดขวดยารักษาหัวใจ หยิบออกมาสองเม็ดกลืนลงไป เวลานั้นได้ยินเสียงคนพูดขึ้นมาว่า “รอสักครู่ครับ จริงๆแล้วคุณไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน กินไปก็ไม่มีผลอะไร”
เธอขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม พอหันหน้ามาก็เจอกับชายวัยรุ่นอายุราวยี่สิบปี จึงเอ่ยถามขึ้น “คุณคือใคร?”
จางจื้อเจี๋ยตกใจจนตัวสั่น เขารีบวิ่งไปหาฉินห้าวตงแล้วกระซิบที่ข้างหู “นายจะบ้าไปแล้วเหรอ ฉันเพิ่งจะบอกกับนายไปว่าห้ามตรวจรักษาโรคให้ใคร พวกเราจะไปยุ่งกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย แล้วก็อย่าหาเรื่องให้กับแผนกการแพทย์ของพวกเราเหมือนกัน”
หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็หันไปพูดกับจางหว่านลู่ด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มอีกครั้งว่า “หัวหน้าจาง นี่คือคุณหมอเสี่ยวฉินที่พึ่งเข้ามาทำงานใหม่ที่แผนกการแพทย์ของพวกเรา ปกติแล้วชอบพูดคุยหยอกล้อ เขาที่พูดก็แค่หยอกคุณเล่นเท่านั้นเอง”
เขาคิดว่าแผนนี้จะทำให้เขารอดไปได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉินห้าวตงจะไม่ได้สนใจเขาเลย และยังพูดต่ออีกว่า “ถึงแม้ผมคนนี้จะชอบพูดคุยหยอกล้อ แต่ว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยเอาเรื่องอาการป่วยของคนไข้มาล้อเล่น”
จางจื้อเจี๋ยอยากจะซัดปากของฉินห้าวตงสักป้าปจริงๆ เลย แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ ได้แค่กระทืบเท้าอยู่ด้านข้างอย่างไม่พอใจ
“ไร้สาระ คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน?” จางหว่านลู่ถามด้วยเสียงที่เย็นชา
“ผมเป็นหมอ ต้องวินิจฉัยได้อยู่แล้ว” อารมณ์ของฉินห้าวตงไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “อาการหัวใจเต้นเร็วของคุณเป็นผลมาจากโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม ไม่ใช่โรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ถ้าผมไม่ได้วินิจฉัยผิด คุณมักจะยังมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้และอาการแทรกซ้อนอื่นอยู่เป็นประจำ อาการเหล่านี้เป็นเพราะกระดูกคอไม่ดี”
สีหน้าของจางหว่านลู่ค่อยๆ เปลี่ยนไป ฉินห้าวตงพูดไม่มีผิดแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วเธอมีอาการเหล่านี้อยู่บ่อยๆ หรือว่าตัวเองไม่ได้เป็นโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันแต่เป็นผลมาจากโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมกันแน่?
“โรคของคุณรักษาง่ายมาก เพียงแค่นวด ไม่นานอาการของโรคก็จะค่อยๆ บรรเทาลง” ฉินห้าวตงพูด แล้วลากเก้าอี้มาตรงหน้าจางหว่านลู่ “แค่ห้านาที ผมสามารถทำให้อาการป่วยของคุณหายไปได้”
“ฉินห้าวตง นายอย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ กระดูกคอไม่ใช่ใครที่ไหนจะมานวดได้ตามใจชอบ วิธีการนวดที่ไม่ถูกต้องจะนำไปสู่การเป็นอัมพาตได้ง่ายมากนะ”
ที่จริงแล้วจางจื้อเจี๋ยมีความกังวลอยู่มาก ฉินห้าวตงยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ อยู่ที่นี่นานสุดก็แค่หนึ่งถึงสองเดือน ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่ได้รับความเสียหายมากเท่าไหร่ แต่กับเขามันไม่เหมือนกัน ถ้าต้องมาตกงานจริงๆ แล้วต่อไปใครจะดูแลเมียกับลูก?
“พี่จาง พี่ไว้ใจได้ ถ้าเธอเป็นอัมพาต ผมจะทำให้เธอกลับมายืนได้อีกครั้ง” ฉินห้าวตงพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ แล้วหันไปมองจางหว่านลู่
เมื่อจางจื้อเจี๋ยเห็นว่าเกลี้ยกล่อมฉินห้าวตงไม่สำเร็จ เขาจึงพูดกับจางหว่านลู่ว่า “หัวหน้าจาง อย่าไปฟังที่เสี่ยวฉินพูดเลย เขาเป็นแค่เด็กฝึกงาน ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย หากนวดให้คุณผิดพลาดขึ้นมาใครก็รับผิดชอบไม่ไหวนะครับ”
จางจื้อเจี๋ยพยายามที่จะหยุดฉินห้าวตง ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจก็ตาม คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่จางหว่านลู่ลังเลสักครู่ เธอกลับนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น “ฉันจะเชื่อคุณสักครั้ง อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
“เอ่อ......” จางจื้อเจี๋ยตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง เขาไม่เข้าใจว่าคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยากอย่างจางหว่านลู่ ทำไมถึงเลือกที่จะเชื่อฉินห้าวตง หรือเป็นเพราะะว่าเขาคือหนุ่มหล่อเหรอ?
ที่จริงแล้วจางหว่านลู่ก็ไม่แน่ใจตัวเองเช่นกัน เธอแค่เชื่อชายหนุ่มตรงหน้าเธอนี้โดยไม่มีเหตุผล
“วางใจเถอะ โรคของคุณเป็นแค่โรคเล็กๆ เดี๋ยวก็หาย”
ฉินห้าวตงพูดขณะที่เขายืนอยู่ด้านหลังของจางหว่านลู่ เขาเริ่มลงมือนวดที่กระดูกคอ เมื่อมือทั้งสองข้างของเขายื่นออกมา หัวใจของจางจื้อเจี๋ยก็เต้นเเรงขึ้น จางจื้อเจี๋ยกลัวว่าฉินห้าวตงจะทำให้คอของจางหว่านลู่หัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไป คิ้วที่ขมวดแน่นของจางหว่านลู่ค่อยๆ คลายออก หน้าของเธอเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินและผ่อนคลาย
โรคกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อมประเภทนี้สำหรับฉินห้าวตงไม่ถือว่าหนักหนาอะไร แค่จัดกระดูกคอที่อยู่ผิดตำแหน่งให้อยู่ถูกจุด แล้วใช้ลมปราณแห่งพงไพรจัดการเส้นเลือดดำที่อุดตันนั้นให้ไหลเวียนดีขึ้น หลังจากนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้เวลาทำงานก็ใส่ใจเรื่องความเหน็ดเหนื่อยกับการผ่อนคลายให้มาก เคลื่อนไหวคอบ่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
จางหว่านลู่ยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ทั้งร่างกายของเธอรู้สึกสบายมาก เธอไม่เพียงแต่รู้สึกว่าอาการหัวใจเต้นเร็วหายไป สีหน้าของเธอดูแจ่มใสมีชีวิตชีวา ดีขึ้นแบบที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เธอเดินมาตรงหน้าและจับมือของฉินห้าวตงพลางพูดว่า “คุณหมอฉิน คุณเป็นหมอเทวดาจริงๆ ขอบคุณคุณมาก ขอบคุณมากจริงๆ!”
จบตอน