px

เรื่อง : คุณพ่อยอดหมอเทวดา (重生之奶爸医圣)
ตอนที่ 41 หม่าม๊าคนที่สอง


ตอนที่ 41 หม่าม๊าคนที่สอง

 

สีหน้าของกองกำลังเฉินปิงทั้งหกนายต่างแสดงความตื่นเต้นออกมา  ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นมาพูดล่ะก็ พวกเขาไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ความสามารถของฉินห้าวตงที่พึ่งจะแสดงออกมานั้นมันมหัศจรรย์เหลือเกิน บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะสร้างปฏิหาริย์ขึ้นมาอีกครั้ง.

 

ฉินห้าวตงพูดขึ้นมาว่า “ ก่อนอื่นพวกคุณรีบฟื้นฟูพลังก่อนเถอะ หลังจากนี้ผมจะจัดโอสถชำระไขกระดูกให้ เพื่อช่วยให้พวกคุณเลื่อนระดับการฝึกตนได้”

 

 “ขอบคุณครับเถ้าแก่!”

 

ทหารรับจ้างทั้งหกนายต่างก็มองฉินห้าวตงด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ขอแค่สามารถล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป  ให้พวกเขาได้ชดใช้ด้วยราคาที่ประเมินค่าไม่ได้

 

จ้านฝู่ยิ้มแล้วก็พูดออกมา “เถ้าแก่ครับ ระหว่างนี้มีอะไรให้พวกเราทำไหมครับ? ร่างกายมันอยู่เฉยมาเป็นปีขึ้นสนิมไปหมดแล้ว อยากจะหาอะไรทำสักหน่อยน่ะครับ”

 

ฉินห้าวตงตอบกลับไปว่า “ฉันเตรียมตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง พวกคุณมาช่วยผมดูแลแล้วกัน”

 

ฉางเตาตบหน้าอกตัวเองเสียงดังพร้อมกับพูดว่า “ วางใจได้เลยครับเถ้าแก่ เรื่องง่ายๆ แค่นี้พวกเราสามารถทำได้อยู่แล้ว”

 

“แน่นอนว่าผมเชื่อใจพวกคุณ แต่ว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยมีแค่พวกคุณหกคนมันยังไม่พอน่ะสิ ยังต้องเปิดรับสมัครพวกบอดี้การ์ดคนอื่นๆ อีก นี่แหละที่ทำให้ผมกลุ้มใจอยู่”

 

ฉินห้าวตงเล่าเรื่องบอดี้การ์ดของหลินโม่โม่ให้พวกเขาฟังอีกรอบ หลังจากนั้นยังบอกอีกว่า “มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหาบอดี้การ์ดที่มีความสามารถและซื่อสัตย์ในตอนนี้” 

 

น่าหลันอู๋ชวงจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ฉันมีวิธีนะ”

 

น่าหลันเจี๋ยมองไปที่น่าหลันอู๋ชวงพร้อมกับพูดว่า “เด็กน้อยเอ๋ย หลานมีวิธีอะไรหล่ะ? หรือว่าหลานมีคนที่จะแนะนำให้?”

 

“วิธีนี้ถ้าใช้กับคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ถ้ากับหมอฉินแล้วมันมีประโยชน์อย่างดีเลยหล่ะ” น่าหลันอู๋ชวงยังพูดอีกว่า “คุณปู่ลืมไปแล้วเหรอคะว่าพวกเรามีทหารกองกำลังพิเศษจำนวนมากที่ปลดเกษียรเพราะอาการบาดเจ็บต่างๆ พวกเขาต่างก็เป็นมือดีของกองทัพทั้งนั้น แถมยังมีความจงรักภักดี แต่แค่เพราะพวกเขาบาดเจ็บจึงต้องปลดเกษียร”

 

“ถ้าหากว่าหมอฉินสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาจนหายแล้วล่ะก็ คนพวกนี้จะต้องสำนึกในบุญคุณอย่างแน่นอน เรื่องความภักดีของพวกเขานั้นสามารถรับประกันได้อย่างไม่ต้องพูดถึงเลย อีกอย่างพวกเขายังเป็นกองกำลังพิเศษที่เก่งที่สุด ทั้งยังมีฝีมืออีกด้วย งานรักษาความปลอดภัยไม่ใช่งานที่ยากอะไรเลย”

 

ฉินห้าวตงฟังแล้วก็ตาเป็นประกายทันที มันจะดีมากถ้าหากว่าเขาสามารถจ้างอดีตทหารพวกนี้มาเป็นบอดี้การ์ดได้

 

ในตอนนี้น่าหลันเจี๋ยได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ฉินห้าวตง “คุณหมอฉิน คนพวกนี้ต่างก็เป็นวีรบุรุษของประเทศเรา ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวถึงแม้ว่าภาครัฐจะให้การคุ้มครอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความสุขกันหรอกนะ”

 

“ถ้าหากว่าเธอสามารถรักษาพวกเขาจนหาย ถ้าช่วยพวกเขาก็เหมือนช่วยประเทศของพวกเราด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย”

 

ฉินห้าวตงจึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสน่าหลัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย พวกเขาสละทั้งเลือดและหยาดเหงื่อเพื่อประเทศของเรา การที่ผมช่วยพวกเขามันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

 

“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ช่วยนัดพวกเขามารวมตัวกันที่นี่ ไม่ว่าพวกเขาอยากจะเข้าร่วมหรือไม่อยากเข้าร่วมกับบริษัทรักษาความปลอดภัยของผม ผมก็จะรักษาให้พวกเขาฟรีทั้งหมด”

 

“คุณหมอฉิน ฉันขอขอบคุณแทนทหารของทั้งประเทศจีนด้วยนะ”

 

น่าหลันเจี๋ยยืนขึ้นพร้อมกับทำความเคารพฉินห้าวตงตามแบบฉบับของทหาร

 

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ฉินห้าวตงขึ้นไปนั่งบน Maserati ของน่าหลันอู๋ชวงอีกครั้ง ทั้งสองคนขับเข้าไปในเมืองอย่างรวดเร็ว 

 

“ขอบคุณเธอมากนะ ที่ช่วยฉันคิดวิธีดีๆ แบบนี้น่ะ!” ฉินห้าวตงพูดขึ้นมา

 

 “แค่พูดขอบคุณก็พอแล้วเหรอ? ถ้าจะขอบคุณฉันก็ช่วยแสดงความจริงใจให้มากกว่านี้หน่อยสิ”น่าหลันอู๋ชวงสวนกลับไป

 

“ต้องแสดงความจริงใจแบบไหนล่ะ หรือจะเสนอตัวให้เธอดีล่ะ?”

 

ฉินห้าวตงพูดพร้อมกับมองไปทางเจ้าของใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางค์ใดๆ  

 

“ฝันไปเถอะ ถ้าคนอื่นเสนอตัวให้อาจเป็นการตอบแทนบุญคุณ แต่คนอย่างนายมันคือการตอบแทนคุณด้วยความแค้น” น่าหลันอู๋ชวงพูดจบก็หัวเราะร่าออกมา “เอาแบบนี้แล้วกัน เย็นนี้ฉันมีแข่ง นายช่วยเอา Lamborghini ของนายมาให้ฉันยืมหน่อยสิ”

 

“แข่งอะไร?” ฉินห้าวตงถาม

 

“แน่นอนว่าเป็นการแข่งรถ” น่าหลันอู๋ชวงยังพูดสมทบอีกว่า “ ฉันเป็นเทพธิดาแห่งรถในวงการแข่งรถใต้ดินของเจียงหนาน หลายปีมานี้ยังไม่เคยเจอคู่แข่งที่เหมาะสมเลย”

 

“แต่เมื่อวานมีผู้ชายคนนึงมาท้าฉันแข่ง ได้ยินมาว่าหมอนั่นพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ แบบนี้จะไม่ให้ฉันตอบรับคำท้าได้ไง แต่ว่ายังไงก็เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า ดังนั้นก็ช่วยเอารถของนายมาให้ฉันยืมหน่อยสิ” 

 

“ทำไมต้องใช้รถของฉันด้วยหล่ะ? รถเธอไม่ดีหรือไง”

 

 “ มันเหมือนกันตรงไหน? รถของฉันราคาแค่ 4 ล้านหยวน ถูกกว่ารถของนายตั้งสิบเท่าแหน่ะ. บางครั้งการแข่งขันระหว่างมือโปรก็แพ้กันแค่วินาทีเดียวเอง ดังนั้นต้องยืมรถนายเตรียมไว้ก่อนจะดีกว่า นายคงไม่งกขนาดนั้นหรอก ,หรือนายทำใจไม่ได้หล่ะ?”

 

“อืม!” ฉินห้าวตงตอบกลับไป “ แค่รถหนึ่งคัน มีอะไรให้ทำใจไม่ได้หล่ะ เอาไปใช้เถอะ ถือว่าทำเพื่อเจียงหนานของพวกเรา”     

 

 “ไม่เพียงแค่รถนะ นายก็ต้องไปกับฉันด้วย”

 

“เอาฉันไปทำไมหล่ะ?” ฉินห้าวตงถามอย่างประหลาดใจ

 

“เวลาที่พวกผู้ชายแข่งรถข้างๆ ของพวกนั้นมักจะมีผู้หญิงสวยเสมอ ฉันเองก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่านายจะขี้เหร่ไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ยังพอถูไถไปได้”

 

“เฮ้ จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ฉันยังต้องใช้ใบหน้านี้ในการหากินอยู่นะ” ฉินห้าวตงพูดด้วยรอยยิ้ม “เอางี้แล้วกัน คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอฟรีก็แล้วกัน”

 

“อะไรคืออยู่เป็นเพื่อนฉัน พูดจาน่าเกลียด ผู้ชายที่อยากจะอยู่กับฉันตอนแข่งรถมีมากมาย หาไม่ยากหรอก!”

 

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดอยู่ โทรศัพท์ของฉินห้าวตงก็ดังขึ้นมา เป็นสายจากหลินโม่โม่โทรเข้ามา

 

  “ห้าวตง, ทำไมคุณถึงออกไปจากโรงพยาบาลหล่ะ?” หลินโม่โม่ถาม

 

“อาการบาดเจ็บของผมหายดีแล้ว จะอยู่โรงพยาบาลไปทำไมหล่ะ? คุณช่วยเรียกคนไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ผมหน่อย”

 

หลินโม่โม่ก็รู้ฝีมือทางการแพทย์ของฉินห้าวตงดี จึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก แต่กลับพูดขึ้นต่อ “ตอนนี้ที่นี่มีเรื่องให้ฉันต้องจัดการหน่ะ คุณช่วยไปรับถังถังหน่อยสิ!”

 

“ได้สิ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 ฉินห้าวตงไม่มีคัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้มีบางคนกำลังพยายามฆ่าหลินโม่โม่อยู่หลายครั้ง ถ้าป้องกันไม่ดีอาจจะมีผลกระทบไปถึงแม่หนูน้อย เขาไม่ไว้ใจให้คนอื่นไปรับเธอ

 

หลังจากกดวางสายไป เขาก็พูดกับน่าหลันอู๋ชวงว่า “ช่วยพาฉันไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาลหน่อย”

 

“นายอายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมถึงนึกอยากเป็นพ่อบุญธรรมของคนอื่น?” น่าหลันอู๋ชวงถาม

 

สองวันมานี้เธอแอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของฉินห้าวตงกับหลินโม่โม่ถึงได้รู่ว่าสองคนนี้พึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ส่วนเด็กคนนั้นเป็นลูกบุญธรรมของฉินห้าวตงเท่านั้น ได้ยินแบบนี้เธอจึงผ่อนคลายมากขึ้น

 

 ฉินห้าวตงพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นพ่อบุญธรรมดีจะตาย ประหยัดเงินเลี้ยดูเมีย แถมยังได้เป็นพ่อคนด้วย”

 

“อย่ามาล้อเล่นสิ!”

 

 น่าหลันอู๋ชวงใช้ดวงตาคู่สวยจ้องไปที่ฉินห้าวตง

 

“จริงสิ มีเรื่องที่ต้องให้เธอช่วย ที่บ้านฉันเลี้ยงลูกสุนัขพันธ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ไว้สองตัว มีเวลาก็ช่วยฉันทำใบอนุญาตเลี้ยงสุนัขหน่อยสิ เวลาจะพาออกไปไหนจะได้สะดวก”

 

ฉินห้าวตงรู้ว่าการจะทำใบอนุญาตเลี้ยงธิเบตันแมสติฟฟ์ในเขตเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้น่าหลันอู๋ชวงช่วย

 

 “ง่ายมาก อีกพักหนึ่งนายส่งรูปสุนัขมาให้ฉันแล้วกัน”

 

น่าหลันอู๋ชวงก็ตอบตกลง

 

ในระหว่างที่พูดนั้นพวกเขาก็มาถึงโรงเรียนอนุบาลจินจือยวี่เยว่  เธอลงจากรถพร้อมกับฉินห้าวตงและเข้าไปในโรงเรียนเพื่อที่จะไปรับแม่หนูน้อย

 

 “ป่าป๊า ถังถังคิดถึงป่าป๊ามากเลย”

 

แม่หนูน้อยกระโดดโลดเต้นออกมาจากห้องเรียน แต่ทว่าสายตากลับไปหยุดอยู่ที่น่าหลันอู๋ชวงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉินห้าวตง

 

 เธอก็ไม่ได้สนใจฉินห้าวตงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกางแขนอ้วนๆ สองข้างออกและหันไปพูดกับน่าหลันอู๋ชวงว่า “คุณน้า อุ้มหนูหน่อย

 

 “เป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ”

 

น่าหลันอู๋ชวงเห็นว่าถังถังเหมือนกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง เธอรู้สึกชอบแม่หนูน้อยมากจนรีบอุ้มเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนทันที

 

ฉินห้าวตงรู้สึกจนปัญญา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแค่แม่หนูน้อยพบเธอครั้งแรกก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว ลูกสาวคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ

 

“คุณน้าคะ คุณน้าสวยมากเลยค่ะ!” แม่หนูน้อยคนนี้พูดไปพลางแกว่งมือไปมาอย่างไร้เดียงสาอยู่ในอ้อมกอดของน่าหลันอู๋ชวง เธอแตะนั่นจับนี่ ซึ่งนั่นทำให้น่าหลันอู๋ชวงรู้สึกเขินขึ้นมา

 

 ในไม่ช้าแม่หนูน้อยก็ดิ้นออกมาจากอ้อมแขนของน่าหลันอู๋ชวง แล้ววิ่งไปสู่อ้อมแขนของฉินห้าวตงแทนพร้อมกับกระซิบข้างหูเขาว่า ”ป่าป๊า ผิวของคุณน้าเนียนมาก เอวก็บาง ไม่มีฟองน้ำด้วย เป็นของแท้แน่นอนค่ะ แถมยังใหญ่กว่าของหม่าม๊าอีกค่ะ......”

 

 เนื่องจากในโรงเรียนเสียงค่อนข้างดัง ดังนั้นน่าหลันอู๋ชวงเลยไม่ได้ยินสิ่งที่แม่หนูน้อยพูด แต่ฉินห้าวตงกลับตกใจจนอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าที่ลูกสาววิ่งไปหาน่าหลันอู๋ชวงเพื่อไปเป็นไส้ศึกให้เขานี่เอง

 

ภายใต้ใต้ความตื่นเต้น เขาได้หอมแก้มแม่หนูน้อยไปฟอดใหญ่ ลูกสาวเขาช่างมีไหวพริบดีจริงๆ

 

“ป่าป๊า คุณน้าคนนี้ไม่เลวเลยนะคะ ถังถังพอใจมาก ให้เธอเป็นหม่าม๊าคนที่สองของถังถังได้ไหมคะ?”

 

“เอ่อ.....”

 

ฉินห้าวตงคิดไม่ถึงว่าแม่หนูน้อยจะพูดความคิดแบบนี้ออกมา เขาพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง.

 

แม่หนูน้อยเมื่อเห็นป่าป๊าไม่ปฏิเสธ จึงหันไปพูดกับน่าหลันอู๋ชวงว่า “คุณน้าค่ะ หนูเรียกคุณน้าว่าหม่าม๊าคนที่สองดีไหมคะ?”

 

น่าหลันอู๋ชวงแก้มแดง เธอถลึงตาใส่ฉินห้าวตง “ นายสอนเธอเหรอ นายไม่กลัวว่ามันจะทำให้เธอเป็นเด็กไม่ดีเหรอ?”

 

แต่ทว่าภายในใจกลับเขินไปหมดแล้ว ดูท่าว่าหมอนี่คงไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอนะ

 

ฉินห้าวตงตอบกลับไป “นี่ฉันไม่ได้สอนเธอนะ!”

 

“ผีที่ไหนจะไปเชื่อนาย!”  น่าหลันอู๋ชวงกลอกตาใส่เขา

 

“หม่าม๊าคนที่สองคะ ป่าป๊าไม่ได้สอนหนูจริงๆ นะคะ!” แม่หนูน้อยหัวเราะคิกคักออกมา

 

“เห็นไหม ฉันคือผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนะ” ฉินห้าวตงหันไปถามแม่หนูน้อยอีกว่า “ถังถัง งั้นใครเป็นคนสอนหนูเหรอ?”

 

“ไม่มีใครสอนหรอกค่ะ เพื่อนร่วมห้องของหนูที่ชื่อหวางเสี่ยวหมิงมีหม่าม๊าตั้งหกคนนู่นค่ะ หนูคิดว่าป่าป๊าเก่งกว่าป่าป๊าของเสี่ยวหมิงอีกนะคะ อย่างน้อยต้องมีสิบสองคน!”

 

น่าหลันอู๋ชวงก็เข้าใจในทันทีเลยว่า พ่อแม่ของเด็กที่เรียนในโรงเรียนนี้ต่างก็เป็นคนร่ำรวยกันทั้งนั้น พบเจอเรื่องแบบนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าแม่หนูน้อยคนนี้สามารถเปรียบเทียบสถานการณ์เช่นนี้ได้ด้วย

 

 ฉินห้าวตงพูดกับลูกสาวว่า “ถังถัง หนูคิดแบบนี้ไม่ถูกนะ!”

 

ขณะที่น่าหลันอู๋ชวงกำลังคิดว่าฉินห้าวตงจะสอนแม่หนูน้อยนั้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขายังพูดต่อ “พวกเราเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว จะไปมีเยอะกว่าคนพวกนั้นถึงสองเท่าได้ยังไง พ่อจะหาแม่ให้หนูเจ็ดคน มากกว่าเขาแค่หนึ่งคนก็ดีมากแล้ว!”

 

“ เอ่อ....”

 

น่าหลันอู๋ชวงแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย ใครที่ไหนเค้าสอนลูกแบบนี้กัน

 

แต่แม่หนูน้อยกลับคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายจึงพยักหน้าตอบรับอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับพูดว่า “ก็ได้ค่ะ หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวันพอดี วันละคนเลยค่ะป่าป๊า!”

 

มองดูท่าทีที่จริงจังของแน่หนูน้อย ฉินห้าวตงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ลูกสาวของเขาช่างดีจริงๆ!

 

 “หัวเราะอะไร? วันละคนนายไหวหรือไง?”

 

น่าหลันอู๋ชวงถลึงตาใส่เขา!

 

“หม่าม๊าคนที่สองคะ หม่าม๊าเป็นอะไรกับป๊าป๊าเหรอคะ? มาเล่นกับหนูวันละคนใช่ไหม ป่าป๊าหนูไหวแน่นอนค่ะ”

 

 “เอ่อ......”

 

แก้มของน่าหลันอู๋ชวงแดงจนถึงหู จะไม่พูดก็ไม่ได้ ตอนนี้เธอเขินกับคำพูดของแม่หนูน้อยไปแล้ว

 

ฉินห้าวตงหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง แล้วหันไปถามน่าหลันอู๋ชวง “เธอคิดว่าหนึ่งวันหนึ่งคนนี่มาทำอะไรกันล่ะ?”

 

 น่าหลันอู๋ชวงอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เธอรีบเดินไปที่ลานจอดรถทันที ส่วนฉินห้าวตงอุ้มลูกสาวเดินตามมาข้างหลังติดๆ

 

หลังจากขึ้นรถแล้ว แม่หนูน้องแสดงออกว่ามีความสุขมาก เธอนั่งอยู่ในอ้อมแขนของฉินห้าวตงแล้วร้องเพลงไม่หยุด

 

“ถังถัง ที่หนูร้องอยู่คือเพลงอะไรเหรอ?”

 

ฉินห้าวตงถาม

 

นาหลันอู๋ซวงที่ขับรถอยู่จึงตอบกลับมา “นี่นายไม่รู้จักเพลงนี้เหรอ? เพลงนี้คือเพลงออกใหม่ของโอวหยางชานชานเลยนะ ชื่อเพลง ดอกไม้บานก่อนจันทร์ลา”

 

 “อ้อ!” ฉินห้าวตงตอบกลับมา พร้อมกับถามต่อ “โอวหยางชานชานคือใครเหรอ?”

 

“พระเจ้า! แม้กระทั่งโอวหยางชานชานนายก็ไม่รู้จักเหรอ? ชักสงสัยแล้วสิว่านายมาจากดวงจันทร์หรือไง!”

 

น่าหลันอู๋ชวงมองไปที่ฉินห้าวตงด้วยสายตาประหลาด หลังจากนั้นจึงพูดกับแม่หนูน้อยว่า “หนูช่วยบอกพ่อทีสิว่าโอวหยางชานชานคือใคร?”

 

 “เป็นดาราที่ดังมากเลยค่ะ เพื่อนร่วมห้องของหนูหลายคนต่างก็ชอบเธอกันทั้งนั้น หนูก็ชอบเธอเหมือนกัน เธอคือไอดอลของหนู!”

 

น่าหลันอู๋ชวงพูดว่า “นายดูสิ โอวหยางชานชานเป็นไอดอลของพวกเราทั้งประเทศ เป็นดาราที่มีชื่อเสียงระดับโลก,แม้แต่ถังถังยังรู้จักแต่นายกลับไม่รู้”

 

ฉินห้าวตงไม่รู้จักโอวหยางชานชานจริงๆ ตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่มหาลัยก็เอาแต่ทำงานกับเรียนหนังสือ มีเวลาว่างก็อ่านหนังสือ เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวงการบันเทิงแม้แต่นิดเดียว

 

จบตอน

รีวิวผู้อ่าน