px

เรื่อง : คุณพ่อยอดหมอเทวดา (重生之奶爸医圣)
ตอนที่ 40 ระดับของชาวยุทธ


ตอนที่ 40 ระดับของชาวยุทธ

 

หลังจากที่ขจัดปราณกระบี่ออกไปจนหมด ฉินห้าวตงเริ่มทำการรักษาขั้นตอนที่สองเพื่อเอาพิษออกจากร่างกายของฉางเตา

 

เขาให้ชายขาพิการเอาอ่างล้างหน้าและมีดสั้นมาวางไว้ตรงหัวเตียง จากนั้นเอื้อมมือไปดึงเข็มที่เหลือบริเวณจุดตันเถียนของฉางเตาออกมา แล้วให้ฉางเตากินโอสถบำรุงปราณเข้าไป

 

พิษในร่างกายของฉางเตาไม่ได้เป็นพิษที่รุนแรง แต่อยู่ในประเภทพิษเรื้อรัง ปัญหาใหญ่ก็คือมันไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขามาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว จนมันเข้าไปในไขกระดูก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากหากต้องการกำจัดพิษจากภายนอก ทางที่ดีที่สุดคือต้องรวบรวมลมปราณในร่างกายของฉางเตา แล้วใช้ลมปราณของเขาขับพิษออกมา

 

เพียงแต่ว่าในตอนนี้จุดตันเถียนของฉางเตาแห้งเหือดมาเป็นระยะเวลานาน มันเหมือนบ่อน้ำแห้ง จึงจำเป็นต้องใช้โอสถบำรุงปราณมาช่วยในการฟื้นฟูลมปราณ

 

หลังจากที่กลืนยาลงไปแล้ว ฉินห้าวตงปล่อยลมปราณแห่งพงไพรเข้าสู่จุดตันเถียนของฉางเตาเพื่อช่วยเขาฟื้นฟูลมปราณที่หายไป

 

โอสถบำรุงปราณค่อยๆ ทำงานภายใต้การขับเคลื่อนด้วยลมปราณแห่งพงไพร ลมปราณแห่งพงไพรค่อยๆ ก่อตัวขึ้นราวกับควัน จนในที่สุดกลายเป็นหยดน้ำรวมตัวกันเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ แล้วไหลเข้าสู่จุดตันเถียน

 

เนื่องจากลมปราณแห่งพงไพรทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉินห้าวตงจึงเริ่มช่วยกระตุ้นให้ฉางเตาขจัดพิษในร่างกาย พิษค่อยๆ ไหลไปยังเท้าทั้งสองข้างของเขา

 

น่าหลันเจี๋ยและคนอื่นมองดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ พวกเขาประหลาดใจเมื่อพบว่าเท้าทั้งสองข้างของฉางเตาเป็นสีดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นสีดำราวกับน้ำหมึก

 

ฉินห้าวตงยังคงอยู่ในกระบวนการล้างพิษให้ฉางเตา เมื่อเห็นว่ามันใกล้จะได้แล้ว เขาจึงรีบคว้ามีดสั้นบนหัวเตียงแล้วกรีดเปิดรูเลือดที่เท้าทั้งสองข้างของฉางเตา

 

เมื่อเขากรีดเปิดรูเลือด ทันใดนั้นก็เกิดเสียง ‘พรวด!’ ดังขึ้น เลือดสีดำไหลทะลักลงไปในอ่างล้างหน้าที่เตรียมไว้ เกิดกลิ่นเหม็นคลุ้งลอยไปทั่วห้อง

 

เมื่อมองไปที่ใบหน้าของฉางเตาอีกครั้ง พบว่าใบหน้าของเขาเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว ความดำคล้ำบนใบหน้าในก่อนหน้านี้ได้หายไปจนหมดสิ้น

 

เมื่อรอให้เลือดที่ไหลออกมาจากเท้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว ฉินห้าวตงจึงเริ่มทำการห้ามเลือด จากนั้นหยิบเข็มเงินออกมา แล้วใช้วิธีฝังเข็มไปยังบริเวณเส้นเลือดเพื่อฟื้นฟูเส้นเลือดที่ได้รับบาดเจ็บ

 

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉินห้าวตงถอนเข็มออกจากร่างกายของฉางเตาจนหมด แล้วใช้มือตีที่หน้าอกของเขาหนึ่งครั้ง “ตื่นเถอะ!”

 

ฉากอันน่าประหลาดใจได้เกิดขึ้น ฉางเตาที่เดิมทีนอนรอความตายอยู่บนเตียง บัดนี้ได้ลุกขึ้นแล้วพลิกตัวลงจากเตียงเรียบร้อยแล้ว

 

น่าหลันเจี๋ยและพวกทหารรับจ้างทุกคนต่างพากันอ้าปากค้างตกตะลึง พวกเขารู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของฉางเตาสาหัสมากแค่ไหน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนี้ จะสามารถรักษาให้หายดีได้โดยชายหนุ่มคนหนึ่ง

 

หลังจากที่ฉางเตาลงจากเตียงแล้วเขาจึงก้มลงคำนับฉินห้าวตง จากนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หมอเทวดา ช่วยรักษาพี่น้องของผมด้วย!”

 

“วางใจเถอะ ในเมื่อผมมาแล้ว ผมจะรักษาพวกเขาทุกคนให้หายดีอย่างแน่นอน” ฉินห้าวตงพูด “ใครจะเป็นคนต่อไป?”

 

จ้านฝู่ นายมานี่!

 

ฉางเตาหันไปพูดกับชายขาพิการ

 

จ้านฝู่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินไปที่ฉินห้าวตงโดยไม่ลังเล “หมอเทวดา ต้องรบกวนคุณแล้ว!”

 

ฉินห้าวตงมองไปที่จ้านฝู่ แล้วพูดกับเขา “บาดแผลภายนอกของคุณค่อนข้างรุนแรง และเป็นมานานเกินไป ดังนั้นเวลารักษาอาจจะเจ็บหน่อยนะครับ!”

 

จ้านฝู่พูดเจือเสียงหัวเราะ “หมอเทวดาลงมือรักษาได้เต็มที่เลยนะครับ ถึงแม้ว่าต้องถูกดึงหนังหรือขาเป็นตะคริว ผมจะไม่ร้องสักคำเลยครับ”

 

ฉินห้าวตงเองก็รู้ว่าคนพวกนี้คือชายชาตรีผู้แข็งแกร่งทนทาน เขาจึงให้จ้านฝู่ทิ้งไม้เท้าแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง

 

บริเวณจุดตันเถียนของจ้านฝู่มีปราณกระบี่อยู่เช่นเดียวกับฉางเตา แต่เมื่อเทียบกับฉางเตาแล้ว ในร่างกายของเขาไม่ได้มีพิษ แต่แขนซ้ายและขาขวาถูกใครบางคนใช้เทคนิคพิเศษทำให้มันหัก จนบิดเบี้ยวผิดรูป

 

ฉินห้าวตงจับขาขวาของจ้านฝู่ไว้แน่น แล้วออกแรงดึงกระดูกที่หักให้เข้าที่อีกครั้งจนเกิดเสียงดัง ‘กึก!’

 

เป็นไปตามคาดที่ว่าจ้านฝู่เป็นคนอดทนมาก เขาแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักนิด

 

ฉินห้าวตงเชื่อมกระดูกที่หักเข้าหากันเรียบร้อยแล้ว จึงใช้การฝังเข็มที่เส้นเลือดเพื่อทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและเส้นเลือดที่ตายให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง หลังจากที่รักษาขาจนหายดีแล้ว เขาใช้วิธีเดียวกันในการเชื่อมกระดูกแขนซ้ายที่หัก

 

หลังจากที่รักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ฉินห้าวตงใช้เข็มเงินขจัดปราณกระบี่ออกจากภายในจุดตันเถียนของเขา

 

“เอาล่ะ ในช่วงสองสามวันนี้อย่าพึ่งสู้กับใครนะครับ ในหนึ่งสัปดาห์ก็กลับมาเป็นปกติแล้วครับ!”

 

การรักษาที่มหัศจรรย์นี้ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาประหลาดใจ ส่วนทหารรับจ้างที่เหลืออีกสี่นายจากตอนแรกที่ดูเหมือนใกล้ตาย ในตอนนี้แววตาของพวกเขาดูเปล่งประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง

 

ตอนแรกพวกเขาสูญสิ้นความหวังไปแล้วและรอคอยความตายอยู่เงียบๆ พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถรักษาให้หายดีได้

 

ฉินห้าวตงไม่ยอมหยุดพัก เขายังคงทำการรักษาอาการบาดเจ็บของทหารรับจ้างอีกสี่นายที่เหลือ

 

เมื่อทำการรักษาเสร็จแล้ว เขาจึงพูดขึ้น “อาการบาดเจ็บของพวกคุณหายดีแล้ว อีกอย่างจุดตันเถียนได้ทำการรวบรวมลมปราณเรียบร้อยแล้ว พวกคุณจะกลับมาเป็นปกติภายในหนึ่งสัปดาห์”

 

“คุณหมอฉิน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกเราเหล่าทหารรับจ้างของพระเจ้า!”

 

ฉางเตาพูดพลางคุกเข่าลงตรงหน้าฉินห้าวตง ส่วนทหารที่เหลืออีกห้านายคุกเข่าตามลงไปด้วย ในเวลานี้พวกเขาทำได้เพียงใช้วิธีนี้ในการแสดงความขอบคุณจากใจ

 

“ลุกขึ้นเถอะครับ ที่ผมช่วยพวกคุณในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะผมเคารพและชื่นชมความเป็นวีรบุรุษของพวกคุณ ในฐานะที่เป็นชาวจีนเหมือนกัน พวกคุณไม่จำเป็นต้องสุภาพกับผมขนาดนี้หรอกครับ”

 

ฉินห้าวตงพูดพลางสะบัดมือ พลังภายในอันยิ่งใหญ่ช่วยประคองทั้งหกคนให้ลุกขึ้น

 

นัยน์ตาของฉางเตาและพวกฉายแววความประหลาดใจ เมื่อกี้พวกเขาพึ่งจะสัมผัสได้ว่าชายวัยรุ่นคนนี้มีพลังภายใน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ ทหารรับจ้างอย่างพวกเขาที่วันๆ เอาแต่ฟันดาบตีรันฟันแทงได้เคารพบูชาพวกชาวยุทธมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดังนั้นสายตาที่พวกเขามองไปยังฉินห้าวตงจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพมากยิ่งขึ้น

 

“ลูกพี่ครับ คุณช่วยชีวิตของพวกเราทั้งหกคนไว้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเราจะเป็นลูกนอกติดตามลูกพี่ตลอดไป!”

 

หลังจากที่ฉางเตาพูดจบ ทั้งหกคนจึงยืนเรียงกันเป็นแถว แล้วมองฉินห้าวตงอยู่เงียบๆ เพื่อรอคอยคำตอบของเขา

 

ฉินห้าวตงจึงเกิดความคิดขึ้น พักนี้หลินโม่โม่มักจะถูกลอบฆ่าอยู่บ่อยครั้ง อีกอย่างผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เขาจึงเป็นกังวลว่าอาจจะไม่สามารถหาผู้คุ้มกันที่เก่งกาจให้หลินโม่โม่ได้ ซึ่งชายทั้งหกคนตรงหน้านี้เหมาะสมพอดี

 

อีกอย่างเขาก็พอจะมองออกว่าถึงแม้น่าหลันเจี๋ยจะคุ้มครองคนเหล่านี้อยู่ แต่เขาก็ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลไว้ ถ้าหากเขาพาคนพวกนี้ไปอาจช่วยแบ่งเบาภาระบางอย่างของน่าหลันเจี๋ยได้

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันไปถามน่าหลันเจี๋ย “ผู้อาวุโส คุณคิดว่าไงครับ?”

 

“อู๋ชวงคงเล่าเรื่องของพวกเขาให้เธอฟังแล้ว มันจะเป็นทางที่ดีที่สุดถ้าเธอสามารถพาพวกเขาไปกับเธอได้!” น่าหลันเจี๋ยตอบ

 

ฉินห้าวตงหันกลับไปมองทั้งหกคนอีกครั้ง “ถ้าพวกคุณต้องการล่ะก็ งั้นพวกคุณก็ไปกับผมแล้วกัน!”

 

“พวกเรากองกำลังเฉินปิง ในนามของฉางเตา ลี่เจี้ยน จ้านฝู่ เฉินเปียนและถงฉุย……ขอสาบานว่าจะติดตามคุณหมอฉินไปจนวันตาย!

 

ทหารรับจ้างทั้งหกนายพูดโดยพร้อมเพรียงกัน

 

ฉินห้าวตงพยักหน้าอย่างน่าพอใจ “งั้นก็ดี ต่อไปพวกคุณเรียกผมว่าเถ้าแก่แล้วกัน!”

 

เขารู้สึกดีใจมากที่ได้ลูกน้องที่ทรงพลังเช่นนี้

 

ในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยวแล้ว น่าหลันเจี๋ยสั่งให้พวกแม่บ้านเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นว่าทั้งหกคนหายดีเป็นปกติแล้ว เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงเดินหัวเราะร่วนนำหน้าไป “หมอเทวดา ไปกินข้าวแล้วพูดคุยกันเถอะ”

 

ในขณะที่พูด เขายกที่นั่งหัวโต๊ะให้แก่ฉินห้าวตง น่าหลันอู๋ชวงและทหารรับจ้างทั้งหกนายต่างพากันนั่งลง

 

หลังจากดื่มเหล้าไปไม่กี่จอก ฉินห้าวตงจึงเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสน่าหลัน ผมเห็นว่าทุกท่านคือชาวยุทธหมดเลย ผมเลยอยากถามว่า ตอนนี้โลกของชาวยุทธมีการแบ่งลำดับกันอย่างไรเหรอครับ?”

 

ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง เขาอยากจะทำความเข้าใจว่าอำนาจของชาวยุทธในสังคมยุคปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะเปรียบเทียบกับความแข็งแกร่งของเขา จะได้รู้เขารู้เรา ประเมินศัตรูได้อย่างถูกต้อง

 

เมื่อฟังคำถามของฉินห้าวตง ทุกคนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ในความคิดของพวกเขาฉินห้าวตงเป็นวัยรุ่นแต่กลับมีการฝึกตนแล้ว ภูมิหลังของครอบครัวเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จะไม่เข้าใจสถานการณ์ของชาวยุทธได้อย่างไร?

 

หลังจากประหลาดใจไปสักพัก ฉางเตาจึงพูดขึ้น “เถ้าแก่ครับ ตอนนี้ชาวยุทธแบ่งออกเป็นสามระดับใหญ่ๆ คือ ขั้นหมิง ขั้นอ้านและบรรพจารย์ ในแต่ละระดับจะแบ่งออกเป็นเก้าขอบเขต”

 

“งั้นการฝึกตนของพวกคุณอยู่ในระดับไหนแล้ว?” ฉินห้าวตงถามอีกครั้ง

 

“ถ้าได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ พวกเราทั้งหกคนอยู่ในขั้นหมิงขอบเขตที่เจ็ดครับ”

 

“งั้นขั้นอ้านคืออะไรล่ะ?” ฉินห้าวตงเอ่ยถาม

 

ในเวลานี้น่าหลันเจี๋ยจึงพูดขึ้น “ครั้งที่แล้วฉันได้ยาจากคุณหมอฉินไป จึงช่วยให้ฉันสามารถบรรลุขั้นหมิงขอบเขตที่เก้า จนกลายเป็นระดับขั้นอ้าน”

 

“สิ่งที่ทำให้ขั้นหมิงและขั้นอ้านแตกต่างกันก็คือความสามารถในการปล่อยลมปราณออกไปนอกร่างกายเพื่อทำร้ายศัตรูได้อย่างเหลือเชื่อ!”

 

“งั้นบรรพจารย์คืออะไร?”

 

น่าหลันเจี๋ยจึงอธิบายให้เขาฟัง “บรรพจารย์เป็นแค่บุคคลที่กล่าวไว้ในตำนาน ซึ่งทั้งประเทศจีนมีน้อยมากจนสามารถนับคนได้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นบรรพจารย์มาก่อน แต่ได้ยินมาว่าหลังจากที่ชาวยุทธบรรลุถึงขั้นบรรพจารย์แล้ว พวกเขาจะสามารถดูดซับพลังงานจากสวรรค์และผืนดินได้ เพียงแค่ยกมือขึ้นก็มีพลังมากมายมหาศาล และสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ทั่วโลก”

 

ฉินห้าวตงพยักหน้าเงียบๆ ตอนนี้เขามีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับการฝึกตนของชาวยุทธในยุคปัจจุบันแล้ว ขั้นอ้านเทียบได้กับระดับก่งจีของผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนบรรพจารย์สามารถเทียบได้กับผู้ฝึกขั้นจินตานในโลกเซียน

 

เขาถามขึ้นอีกว่า “ปัจจุบันมีชาวยุทธหลายคนไหม?”

 

ฉางเตาพูดตอบ “น้อยมากๆ เรียกได้ว่าล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเหลือเกิน แม้ว่าพวกเราฝึกตนอยู่ในระดับขั้นหมิงขอบเขตที่เจ็ด ยังเจริญก้าวหน้าในแวดวงทหารรับจ้าง จะเห็นได้ว่าชาวยุทธมีจำนวนน้อยมาก”

 

น่าหลันเจี๋ยพูดอธิบายต่อ “ยุคสมัยพัฒนามาถึงปัจจุบัน การสืบทอดของชาวยุทธมากมายได้เลือนหายไป อีกอย่างตอนนี้อาวุธจำพวกปืนมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ต่อให้ฝึกฝนมาหลายสิบปีก็ยังไม่สามารถต่อกรกับกระสุนได้ ดังนั้นความกระตือรือร้นของผู้คนที่มีต่อวิถีแห่งยุทธจึงลดน้อยลง ทำให้ชาวยุทธมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ”

 

“ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าบรรพจารย์มีความสามารถในการต้านทานกระสุนได้ แต่มันก็แค่ตำนานเท่านั้น ยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน”

 

ฉางเตาพูดแทรกขึ้นมาว่า “แม้ว่าจะมีความสามารถในการต้านทานกระสุนได้แล้วยังไงล่ะ? ในโลกนี้ยังมีขีปนาวุธและปืนใหญ่นี่นา ตอนนี้วิถีแห่งยุทธกำลังเสื่อมโทรม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาวุธเหล่านี้”

 

ฉินห้าวตงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ผมเห็นว่าในจุดตันเถียนของพวกคุณมีคนจงใจทิ้งปราณกระบี่ไว้ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

 

เมื่อได้ยินฉินห้าวตงถามถึงเรื่องนี้ ความเกลียดชังอย่างรุนแรงกระจายไปทั่วใบหน้าของฉางเตา “ในปีนั้นพวกเราเหล่าพวกพ้องทั้งแปดคนติดกับของชาวญี่ปุ่น พวกมันส่งนักบวชและนินจามา คนที่ทำร้ายพวกเราคือนินจาขั้นสุดท้ายคนหนึ่ง น่าจะอยู่ในขั้นอ้าน”

 

“เป็นเพราะเหตุนี้แหละ เมื่อก่อนพวกเรามีพวกพ้องทั้งหมดแปดคน หยินจี่และต้ากงตายในเงื้อมมือของนินจา จึงเหลือพวกเราแค่หกคนเท่านั้น”

 

“นินจาเหรอ?” ฉินห้าวตงยิ้มเย้ยหยัน เขาไม่ชอบคนญี่ปุ่นมาตั้งนานแล้ว จึงพูดขึ้น “วางใจเถอะ ถ้าพวกคุณติดตามผม ภายในสามปีพวกคุณจะได้แก้แค้นพวกมันอย่างแน่นอน”

 

“แต่อีกฝ่ายเป็นถึงขั้นอ้านเชียวนะครับ คงแก้แค้นได้ยาก”

 

ขณะที่พูด ทหารรับจ้างของพระเจ้าทั้งหกนายต่างพากันทำหน้าเศร้า หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้น พวกเขาได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของชาวยุทธขั้นอ้าน ซึ่งชาวยุทธขั้นหมิงขอบเขตที่เจ็ดอย่างพวกเขาไม่มีทางเทียบชั้นได้แน่นอน

 

“วางใจเถอะ ผมพูดจริงทำจริง!”

 

ฉินห้าวตงไม่สนใจชาวยุทธขั้นอ้านเลยสักนิด ตอนที่เขาอยู่ในโลกเซียน พวกคนใช้ที่คอยเก็บกวาดพื้นให้เขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกจินตานทั้งนั้น เทียบได้กับชาวยุทธระดับบรรพจารย์ในโลกมนุษย์ เขาจะไปสนใจนินจาผู้ต่ำต้อยนั่นได้ไง

 

ตราบใดที่เขามีเวลาและทรัพยากรมากพอ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยหากจะฝึกพวกของฉางเตาให้กลายเป็นบรรพจารย์ที่เก่งกาจ

 

จบตอน

 

รีวิวผู้อ่าน