ตอนที่ 36 อุบัติเหตุรถยนต์
“นายยังจะมาอยากได้เหตุผลจากฉันอีกเหรอ?” หลินโม่โม่ตะคอกด้วยความโกรธ “พวกนายเป็นบอดี้การ์ด มีหน้าที่คุ้มกันไม่ใช่เหรอ ตอนที่ฉันและลูกสาวตกอยู่ในอันตราย พวกนายมัวไปมุดหัวอยู่ไหน?”
“พอเห็นเจ้านายตกอยู่ในอันตรายกลับกลัวเป็นเต่าหัวหด บอดี้การ์ดอย่างพวกนาย นายพูดมาสิว่ามันยังจำเป็นอยู่ไหม?”
“มันไม่ใช่ความผิดของพวกเรานะครับ! มันคือความผิดของเขาคนเดียวเลย!” ดูเหมือนจางเต๋อเซิ่งจะคิดคำแก้ตัวนี้มานานแล้ว เขาชี้ไปยังฉินห้าวตงแล้วพูดขึ้น “ถ้าไม่ได้เป็นเพราะเขาไปยั่วโมโหพี่หลงเข้า จะก่อให้เกิดปัญหามากมายขนาดนี้ได้ยังไง”
ฉินห้าวตงเหลียวมองไปยังจางเต๋อเซิ่ง ในเวลานี้พอจางเต๋อเซิ่งนึกถึงความโหดเหี้ยมของเขา จึงถอยหลังกรูโดยไม่รู้ตัว
“พวกนายเป็นถึงบอดี้การ์ดของตระกูลหลิน พอเห็นพวกอันธพาลก็ตกใจกลัวจนขาอ่อนปวกเปียกกันแล้ว ยังกล้าเอาความผิดของตัวเองมายกให้คนอื่นอีก พวกนายรับเงินเดือนเขามาแล้ว แต่กลับปกป้องไม่ได้แม้แต่คุณหนูน้อยที่กำลังเล่นอยู่ในสวนสนุก”
“นี่ยังพอทน แต่เมื่อกี้ลูกสาวของฉันถูกด่า ทั้งที่ตาก็เห็นอยู่แท้ๆ ว่าเธอจะถูกดึงผม พวกนายหายหัวไปไหน? คนอย่างพวกนายอย่าว่าแต่เป็นบอดี้การ์ดเลย ยังไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ชายด้วยซ้ำ รีบใช้โอกาสนี้ไสหัวออกไปก่อนที่ฉันจะโกรธ!”
“ใช่แล้ว! คนขี้ขลาด! คนขี้ขลาด! รีบไสหัวไปเลย! ออกไปเลย!”
แม่หนูน้อยตะโกนตาม
จางเต๋อเซิ่งเริ่มรู้สึกร้อนฉ่าที่ใบหน้า เขารู้ว่าเขาผิด ดังนั้นจึงไม่กล้าสบตาฉินห้าวตง แล้วหันไปอ้อนวอนยังหลินโม่โม่แทน “ประธานหลิน พวกผมทำงานทุ่มเทให้กับตระกูลหลินมาหลายปีแล้ว พวกผมไม่เคยแอบอู้หรือท้อกับงานหนักมาก่อน โปรดยกโทษและให้โอกาสพวกผมอีกครั้งเถอะครับ!”
หลินโม่โม่พูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เป็นเพราะแบบนี้แหละ ฉันได้ดูแลพวกนายมามากพอแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคงรายงานสิ่งที่พวกนายทำกับสมาคมบอดี้การ์ดไปแล้ว นายคิดว่าแบบนี้ยังจะมีคนจ้างพวกนายอีกไหม?”
“เอ่อ……”
จางเต๋อเซิ่งเหงื่อออกเต็มหน้าผาก วงของคนชนชั้นสูงในเจียงหนานค่อนข้างแคบ ถ้าหากหลินโม่โม่ประกาศเรื่องราวในวันนี้ออกไป พวกเขาคงจะตกงานของแท้ และคงไม่มีใครจ้างบอดี้การ์ดขี้ขลาดอย่างพวกเขาอีก
“ใช้โอกาสตอนที่ฉันยังไม่เปลี่ยนใจ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” หลินโม่โม่พูดขึ้นอีกครั้ง
“ไสหัวไป! ไสหัวไป!” แม่หนูน้อยพูดตามอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางแล้ว จางเต๋อเซิ่งจึงมองไปยังฉินห้าวตงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดุเดือดและเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
ฉินห้าวตงกลับไม่ได้สนใจอะไร ก็แค่มดปลวกไร้ค่าตัวนึงเท่านั้น ถ้าหากมันกล้ามากัดเขา เขาก็จะขยี้มันให้ตายคามือ!
จากนั้นเขาและหลินโม่โม่พาถังถังไปเล่นเครื่องเล่นอย่างอื่น ทั้งสามคนมีช่วงเวลาที่สุดแสนวิเศษด้วยกันราวกับครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก
แม่หนูน้อยเล่นอย่างมีความสุขจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เธอถึงจะยอมกลับจากสวนสนุกมิกกี้เม้าส์อย่างอาลัยอาวรณ์ พอมาถึงลานจอดรถ ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกขึ้นไปนั่งบนเบาะหลัง
คนขับรถมีชื่อว่าลุงจาง อายุห้าสิบกว่าปีแล้ว เป็นคนเก่าแก่ของตระกูลหลิน เขาสตาร์ทรถแล้วขับกลับบ้านอย่างช้าๆ
“ป่าป๊า วันนี้หนูเล่นสนุกมากเลยค่ะ ป่าป๊าจะพาหนูมาที่นี่อีกเมื่อไรคะ?”
แม่หนูน้อยเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ได้ทุกเวลาเลยลูก ขอแค่ถังถังชอบ พ่อจะพาหนูมาทุกเมื่อที่หนูต้องการ”
ในขณะที่ฉินห้าวตงกำลังพูดกับแม่หนูน้อย จู่ๆ ในใจของเขาเกิดความรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง จึงทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลินโม่โม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขาจึงเอ่ยถาม “เป็นอะไรเหรอห้าวตง รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
แม่หนูน้อยชิงพูดขึ้นมาว่า “ป่าป๊าเป็นหมอ หมอไม่มีวันป่วยนะคะ!”
ฉินห้าวตงบีบแก้มอวบอ้วนของแม่หนูน้อยพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ถังถังพูดถูกแล้ว พ่อไม่มีวันป่วยเด็ดขาด”
แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันเจ็บป่วย เพราะเขาฝึกฝนความเป็นอมตะของมหาเทพแห่งพงไพรไว้
เนื่องจากสวนสนุกมิกกี้เม้าส์ตั้งอยู่เขตชานเมือง ดังนั้นทางกลับบ้านของพวกเขาจึงเป็นถนนตัดผ่านภูเขาที่อยู่ห่างไกล
พอขับรถมาถึงช่วงถนนตรงนี้ ลางสังหรณ์ในใจของฉินห้าวตงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาลองงอนิ้วคำนวณดวงชะตาดูสักพัก จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป นี่มันแสดงให้เห็นสัญญาณที่เป็นอันตรายมาก
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีรถบรรทุกคันใหญ่วิ่งสวนมา ทั้งๆ ที่ลุงจางพยายามขับรถ Rolls-Royce ชิดริมถนนที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่รถบรรทุกคันนั้นยังคงขับมุ่งตรงมายังรถของพวกเขา
“แม่งเอ้ย มันขับรถอะไรของมันวะ!”
ลุงจางตกใจมาก เขาพยายามหลบไปข้างทางไปด้วยพลางบีบแตรอย่างบ้าคลั่ง
แต่ดูเหมือนว่าคนขับรถบรรทุกจะไม่ได้ยินเสียงแตร เขาไม่ยอมเปลี่ยนทิศทาง ในทางตรงกันข้ามกลับเร่งความเร็วมากขึ้น
“ไม่ได้การแล้ว!”
ในที่สุดฉินห้าวตงก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของตัวเองมาจากเรื่องไหน เขาคว้าเอาแม่หนูน้อยมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วถีบประตูรถ Rolls-Royce ออก มืออีกข้างหนึ่งคว้าแขนของหลินโม่โม่ไว้แน่นแล้วกระโดดออกจากรถ
เมื่อทั้งสามคนกลิ้งลงบนพื้น ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัง!’ รถทั้งสองคันขับชนกันอย่างแรง
แม้ว่ารถ Rolls-Royce จะมีสมรรถนะและความปลอดภัยดีเยี่ยม แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่มากเมื่อเทียบกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่แย่ไปกว่านั้นคือรถบรรทุกขับมาด้วยความเร็วสูงและคนขับไม่ได้แตะเบรกเลย มันไม่เพียงแต่ชนเข้ากับรถ Rolls-Royce แต่มันยังเหยียบตัวรถไว้อีกด้วย นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันคือการฆาตกรรมอย่างแน่นอน
เมื่อรถบรรทุกจอดลง รถ Rolls-Royce ถูกบดอยู่ด้านล่างรถบรรทุก ตัวรถแบนจนดูเหมือนแผ่นเหล็ก ลุงจางคงไม่น่ามีโอกาสรอดชีวิตแล้ว
ทั้งสามคนลุกขึ้นมาจากพื้นดิน หลินโม่โม่ตกตะลึงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ส่วนแม่หนูน้อยเองก็ตกใจจนหน้าซีด เธอกอดคอของหลินโม่โม่ไว้แน่น
ฉินห้าวตงโกรธมากเมื่อเห็นฉากอันน่าสยดสยองตรงหน้า ถ้าหากเขาไม่มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ บางทีเขาอาจจะรอดชีวิตเพราะมีการฝึกฝนของตนอยู่ แต่แม่หนูน้อยและหลินโม่โม่จะต้องตายอย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หัวร้อน ก็เห็นชายชุดดำเจ็ดถึงแปดคนกระโดดลงมาจากด้านหลังรถบรรทุก คนพวกนี้สวมไอ้โม่งสีดำ เหลือให้เห็นแค่ดวงตาของพวกมัน ในมือของพวกมันถือปืนพกแล้วเริ่มกราดยิงมาทางพวกเขา
ฉินห้าวตงคิดไม่ถึงว่าจะมีการฆ่ากันต่อ ถ้าหากมีแค่เขาคนเดียว เขาคงสามารถหลบหนีได้ด้วยทักษะหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลานี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ด้านหลังของเขายังมีหลินโม่โม่และแม่หนูน้อยที่มีความสำคัญกว่าชีวิตของเขาเสียอีก
เวลามีน้อยเกินกว่าที่เขาจะพิจารณาอะไรได้มาก ฉินห้าวตงกระโดดตัวขึ้นแล้วคว้าเอาหลินโม่โม่และแม่หนูน้อยให้หมอบลงที่พื้น จากนั้นพาทั้งสองคนไปซ่อนหลังก้อนหินใหญ่
ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะเร็วมาก เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการพาทั้งสองคนแม่ลูกไปซ่อนหลังหิน แต่ร่างกายของเขาสั่นเทาไม่หยุด เพราะที่แขนซ้าย หน้าอกด้านขวาและขาของเขาถูกยิง
“แม่งเอ้ย ระดับการฝึกตนยังต่ำไป!” ฉินห้าวตงแอบกร่นด่าในใจ ถ้าหากเขามีการฝึกตนเทียบเท่ากับระดับในชาติที่แล้ว เขาคงไม่ต้องสนใจกระสุนปืนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาบ่น ภารกิจสำคัญในตอนนี้คือการจัดการกับคนเหล่านี้ เขารู้ดีว่าแค่พึ่งการฝึกตนของตัวเองในตอนนี้ยังยากหากต้องการปกป้องหลินโม่โม่และแม่หนูน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกำจัดคนพวกนี้เลย
ดูแล้วคงมีแค่หนทางเดียวคือต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากในกระเป๋า แล้วรีบกดโทรหาน่าหลันอู๋เซี๋ยอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้น่าหลันอู๋เซี๋ยกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่พอดี หลังจากที่เห็นเบอร์ของฉินห้าวตง เธอจึงรีบกดรับสายทันที
ขณะที่เธอกำลังจะพูด เธอได้ยินเสียงกระซิบของฉินห้าวตงดังมาจากปลายสาย “ฉันกำลังถูกคนไล่ฆ่า รีบมาช่วยฉันเร็ว!”
น่าหลันอู๋เซี๋ยรู้ว่าฉินห้าวตงเป็นคนชอบเล่นมุขตลก ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อเขา เธอพูดพลางหัวเราะ “ให้มันน้อยๆ หน่อย คนเขาจะมาไล่ฆ่าหมออย่างนายทำไม? วันนี้ไม่ใช่วันเอพริลฟูลเดย์นะ นายหลอกฉันไม่ได้หรอก”
คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมีการตอบโต้เช่นนี้ ฉินห้าวตงกลืนคำด่าลงไปแล้วพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “เธอไม่มีสมองหรือไง? ฉันมีเวลาล้อเล่นกับเธอที่ไหน รีบมาเร็ว ถ้ามาช้าก็มาเก็บศพฉันด้วยแล้วกัน!”
พอได้ยินฉินห้าวตงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าของน่าหลันอู๋เซี๋ยเปลี่ยนไปทันที “แน่ใจนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น?”
“ตอนนี้บนร่างกายฉันมีแผลถูกยิงสามนัด เธอคิดว่าฉันจะยังล้อเล่นไหมล่ะ? ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นพวกของสุนัขผู้โศกเศร้านั่น มันคงตามกลับมาแก้แค้นเรา!”
ที่จริงฉินห้าวตงก็ไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นพวกของใคร แต่จากการเดาของเขาอาจเป็นพวกที่ต้องการมาลอบฆ่าหลินโม่โม่ แต่เพื่ออยากให้น่าหลันอู๋เซี๋ยเชื่ออย่างโดยเร็วที่สุด เขาจึงสร้างเรื่องว่าเป็นพวกของสุนัขผู้โศกเศร้า
เป็นไปตามที่คิดไว้ พอเขาพูดออกมา น่าหลันอู๋เซี๋ยรีบลุกขึ้นทันทีแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า “บอกตำแหน่งของนายมา!”
“ระหว่างทางไปเขตเมืองเจียงหนานจากสวนสนุกมิกกี้เม้าส์ ถ้ามาเธอจะเห็นอุบัติเหตุบนท้องถนน นั่นแหละคือที่ที่เราถูกล้อมอยู่”
“อดทนไว้นะ ฉันจะรีบไปถึงในสิบนาที”
หลังจากน่าหลันอู๋เซี๋ยพูดจบ เธอรีบกดวางสายในทันที
ในเวลานี้หลินโม่โม่เข้าใจแล้วว่ามันเป็นการลอบฆ่า เนื่องจากก้อนหินมีขนาดไม่ใหญ่มาก ดังนั้นเธอจึงต้องกอดแม่หนูน้อยไว้แน่นแล้วเบียดตัวเข้าหาฉินห้าวตง แก้มของเธอแนบชิดอยู่ที่ด้านหลังของเขา
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หลินโม่โม่ถึงจะรู้สึกว่าที่แก้มของเธอมีอะไรเหนียวๆ ชื้นๆ เปียกอยู่ พอลองเอามือลูบดูถึงรู้ว่าเป็นเลือด
“คุณบาดเจ็บเหรอ?” เธอพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“ไม่เป็นไร แค่บาดแผลเล็กน้อย!”
หลังจากที่ฉินห้าวตงขอความช่วยเหลือได้แล้ว ในใจของเขาจึงเริ่มสงบขึ้น เขายัดโทรศัพท์มือถือใส่ลงไปในกระเป๋า จากนั้นเริ่มกดจุดห้ามเลือดให้ตัวเอง
หลิบโม่โม่รู้สึกอยากจะร้องไห้ น้ำตาของเธอไหล เธอรู้ว่าฉินห้าวตงบาดเจ็บเพราะปกป้องเธอสองคนแม่ลูก
“ป่าป๊า หนูกลัว!” ถึงแม้ว่าแม่หนูน้อยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณของเธอรู้สึกถึงความหวาดกลัว
“ถังถังไม่ต้องกลัวนะ พ่อเคยบอกแล้วนี่นา ขอแค่มีพ่ออยู่ ถังถังก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
ฉินห้าวตงพูดจบ จึงยื่นมือไปปิดปากของแม่หนูน้อยไว้เพราะเขาได้ยินเสียงของฝีเท้า ดูเหมือนว่าพวกชายชุดดำจะยังไม่ยอมรามือ พวกมันเริ่มเข้ามาล้อมทางด้านนี้
“อย่าพึ่งพูดอะไร คนพวกนั้นมาแล้ว!”
ฉินห้าวตงพูดจบ เขาส่งถังถังให้กับหลินโม่โม่ เอากระเป๋าเข็มออกมาจากกระเป๋าของเขา จากนั้นสงบสติอารมณ์ เขากะระยะจากเสียงฝีเท้าของชายชุดดำ
ด้วยการฝึกฝนในปัจจุบันของเขา เข็มเงินจะมีประสิทธิภาพในระยะยี่สิบเมตร ถ้าหากไกลเกินไปมันจะไม่แม่นเอาได้ เขาจำเป็นต้องรอจนกว่าชายพวกนั้นจะเข้ามาใกล้ถึงจะลงมือได้
ชายชุดดำพวกนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจฉินห้าวตงเท่าไร คนที่เดินนำสองคนมาถึงด้านหน้าก้อนหินอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากอีกฝ่ายถือปืนอยู่ในมือ ดังนั้นฉินห้าวตงจึงไม่กล้าโผล่หน้าออกไป เขายังคงใช้การฟังจับทิศทางของคนพวกนั้น แล้วยกมือขึ้นขว้างเข็มสิบกว่าเล่มออกไป
เข็มเงินของเขาจะต้องสูญเสียความแม่นยำอย่างแน่นอนเมื่อเขามองไม่เห็นศัตรู แต่ในบรรดาเข็มสิบกว่าเล่ม ขอแค่มีหนึ่งเล่มปักโดน ศัตรูของเขาจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
เป็นไปตามคาด หลังจากที่เขาขว้างเข็มออกไปแล้ว ชายชุดดำสองคนนั้นล้มลงไปนอนกองกับพื้นโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าด้านหน้าเกิดอะไรขึ้น พวกมันคว้าปืนออกมากราดยิงหลายนัดแล้วถอยกลับไปซ่อนตัวอยู่ข้างรถ
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้ถอยห่างออกไป ฉินห้าวตงรู้สึกโล่งใจมาก แต่ลำพังจะพึ่งแค่ก้อนหินนี้คงไม่สามารถป้องกันพวกเขาจากชายชุดดำพวกนั้นได้ ถ้ารอให้คนชุดดำพวกนั้นดึงสติกลับมาแล้วปิดล้อมตรงนี้จากทุกทิศ ก้อนหินคงไม่สามารถกำบังพวกเขาได้อีกต่อไป พอถึงตอนนั้นคงไม่สามารถป้องกันพวกเขาจากกระสุนปืนได้
เขามองไปยังรอบด้าน พบบ้านทรุดโทรมหลังหนึ่งถูกทิ้งร้างไว้ในบริเวณใกล้เคียง ถึงแม้ว่าบ้านจะหลังไม่ใหญ่ แต่มันใหญ่พอที่จะป้องกันพวกเขาจากกระสุนปืนได้
ฉินห้าวตงอุ้มแม่หนูน้อยไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง แล้วหันไปพูดกับหลินโม่โม่ “ผมจะนับหนึ่งถึงสาม พวกเราจะรีบวิ่งไปที่บ้านหลังเล็กๆ นั่นกัน คุณต้องวิ่งให้เร็วที่สุดนะ!”
“อื้ม!” หลินโม่โม่พนักหน้า เธอรู้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้เธอมีชีวิตรอด
จบตอน