ตอนที่ 31 ผมก็เล่นมุขเหมือนกัน
ดวงตาของฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปินแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตา พวกเขาไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้
“แม่งเอ้ย เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย? มันยังเป็นสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์อยู่ไหม? มันไม่ใช่ราชาแห่งสุนัขหรือไง? มันต้องดุร้ายและก้าวร้าวไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าพึ่งคลอดลูกแล้วอารมณ์ดุร้ายหรือไง? ทำไมแค่พริบตาเดียวถึงไปหมอบอยู่แทบเท้าคนอื่นได้ล่ะ?”
“อีกอย่างทำสีหน้าอะไรของมัน ทำไมถึงดูเคารพและบูชาเขาขนาดนั้น น้ำลายก็ไหลยืดอีก แถมยังไปเลียรองเท้าเขาอีก ช่วยมีศักดิ์ศรีหน่อยได้ไหม?”
ไป๋จื่อผิงและครูฝึกสุนัขทั้งสองคนนั้นต่างพากันอ้าปากค้างตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเคยเห็นความดุร้ายและความก้าวร้าวของสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้มาก่อน พวกมันดุร้ายพอที่จะสู้กับเสือได้ ต่อให้พวกเขาฝันไปก็ไม่คิดว่าจะเกิดบรรยากาศแบบนี้ขึ้น
พวกเขาพยายามขยี้ตาตัวเองอย่างแรง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิดไป
อีกอย่างภายในกรงสุนัข ฉินห้าวตงใช้เท้าเตะตัวพ่อพันธุ์ออกไปด้วยความหงุดหงิดพลางตะโกนขึ้น “หมอบลงเดี๋ยวนี้ ทำรองเท้าฉันสกปรกหมดแล้ว!”
หลังจากที่มันได้ยินแล้ว ก็รีบย่อตัวลงหมอบอย่างเชื่อฟังต่อหน้าฉินห้าวตง มันดูเชื่องมาก
เนื่องจากฉินห้าวตงมีพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของมหาเทพแห่งพงไพรอยู่ ถ้าพูดตามสัญชาตญาณของเจ้าสุนัขสองตัวนี้ พวกมันรับรู้ได้ถึงความทรงพลังของอีกฝ่าย จึงไม่คิดที่จะต่อต้าน
ในขณะเดียวกันตอนที่ฉินห้าวตงเข้ามา เขาก็แสดงความตั้งใจที่จะรักษาอาการป่วยให้พวกมัน เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้จึงเคารพเขาและไม่คิดที่จะโจมตี
เขาหยิบเข็มเงินออกมาจากกระเป๋าเข็ม ในช่วงพริบตาเดียวเขาก็เอาเข็มเงินสิบกว่าเล่มฝังลงไปบนร่างกายของสุนัข จากนั้นใช้ลมปราณแห่งพงไพรช่วยขจัดความอุดตันของหลอดเลือดในร่างกาย
ห้านาทีต่อมา ฉินห้าวตงดึงเข็มออกจากร่างของเจ้าสุนัขตัวพ่อพันธุ์ ในเวลานี้มันมีท่าทีเปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ดูเจ็บปวดออดแอด ตอนนี้มันดูคึกคักขึ้นเป็นร้อยเท่า มันคำรามขึ้นฟ้าราวกับพญาราชสีห์ จนทำให้กรงสุนัขสั่นสะเทือน
ทุกคนที่อยู่นอกกรงสุนัขอ้าปากค้างกันอีกครั้ง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าสุนัขตัวพ่อพันธุ์จะได้รับการรักษาจนหายเร็วได้ขนาดนี้
ฉวี่ว่านไฉเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างอ้ำอึ้ง เขาเป็นสัตวแพทย์มานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นวิชาการแพทย์ที่มหัศจรรย์เท่านี้มาก่อนเลย เขายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?
“ทำตัวดีๆ หน่อย จะเห่าอะไรนักหนา!”
ฉินห้าวตงเตะสุนัขตัวพ่อพันธุ์ออกไปด้วยเท้าหนึ่งข้าง จากนั้นเดินไปยังตัวแม่พันธุ์
โดยทั่วไปแล้วอารมณ์ของสุนัขตัวเมียจะไม่มั่นคงหลังจากที่มันพึ่งคลอดลูกไป แต่การตอบสนองของตัวแม่พันธุ์นี้คล้ายกับตัวพ่อพันธุ์มาก สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความประจบประแจงและเคารพฉินห้าวตง ถึงแม้ว่าร่างกายของมันจะอ่อนแอจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ แต่หางพวงใหญ่ของมันกลับกระดิกไม่หยุด
ฉินห้าวตงใช้เข็มเงินรักษาอาการป่วยของสุนัขแม่พันธุ์อีกครั้ง แต่อาจเป็นเพราะร่างกายของมันอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงใช้เวลานานกว่ามาก ประมาณเจ็ดถึงแปดนาทีต่อมา เขาถึงจะดึงเข็มเงินออก
เมื่อเข็มเงินถูกดึงออกจากร่างกาย มันยืนขึ้นจากพื้นทันที มันเข้ามาคลอเคลียประจบอยู่ตรงขาของฉินห้าวตงก่อน จากนั้นกัดกางเกงของเขาไว้แน่นแล้วดึงไปทางลูกสุนัขสองตัวที่นอนอยู่
ความหมายมันชัดเจนดีอยู่แล้ว มันต้องการให้ฉินห้าวตงรักษาเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์น้อยสองตัวนี้ที่กำลังนอนหายใจรวยริน
เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้พึ่งจะคลอดออกมาได้ไม่นาน มันยังไม่ได้กินนมแม่เลยสักนิด ร่างกายของมันจึงอ่อนแอมาก การรักษาจึงค่อนข้างจะยุ่งยาก ในที่สุดฉินห้าวตงก็เอาโอสถชำระไขกระดูกออกมา หักแบ่งครึ่งแล้วป้อนให้ลูกสุนัขทั้งสองตัว
ถึงแม้ว่าโอสถชำระไขกระดูกจะเป็นสิ่งล้ำค่า แต่ในอนาคตลูกสุนัขสองตัวนี้จะกลายเป็นเพื่อนเล่นและบอดี้การ์ดของถังถัง ดังนั้นมันจึงคุ้มค่าที่จะลงทุน
หลังจากป้อนโอสถชำระไขกระดูกไปแล้ว ฉินห้าวตงใช้ลมปราณแห่งพงไพรช่วยในการไหลเวียนของหลอดเลือดเพื่อเพิ่มความเร็วในการดูดซึมยา
ในไม่ช้าเจ้าลูกสุนัขสองตัวที่นอนหายใจรวยรินใกล้ตาย จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนจากพื้นแล้วลืมตาขึ้น
ไป๋จื่อผิงตกตะลึงอ้าปากค้างอยู่ด้านนอก เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น โดยปกติลูกสุนัขจะใช้เวลาเจ็ดวันกว่าจะลืมตาได้ แต่ลูกสุนัขสองตัวนี้พึ่งจะคลอดออกมาได้แค่สองวันเอง
“เอาล่ะ ฉันช่วยชีวิตลูกๆ ของพวกแกได้แล้ว แต่ฉันต้องพาพวกมันกลับไป!”
ฉินห้าวตงลูบหัวแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ จากนั้นอุ้มลูกสุนัขทั้งสองตัวขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากกรงสุนัข
ถึงแม้ว่าในแววตาของพวกมันจะแสดงให้เห็นว่ามันไม่เต็มใจที่จะจากลูกๆ ของมัน แต่พวกมันทำได้เพียงเอาหัวมาถูที่เท้าของฉินห้าวตง ราวกับรู้ว่าการที่ฉินห้าวตงเอาลูกสุนัขสองตัวนี้ไปเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
“ป่าป๊า เจ้าหมาน้อย ถังถังอยากเล่นกับเจ้าหมาน้อย!” แม่หนูน้อยอุทานด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขามีความสุข ฉินห้าวตงจึงยังไม่ปิดประตูเหล็กของกรงสุนัข เขานำเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์ตัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ออกมาจากในกรง
พอเห็นเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์ตัวใหญ่สองตัวนี้เดินออกมาจากในกรง คนอื่นๆ ต่างพากันถอยกรู รวมถึงครูฝึกสุนัขสองคนที่มีสีหน้าประหม่าด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ต่อให้ใช้คนสิบคนก็ไม่สามารถเอามันอยู่ได้
ฉินห้าวตงวางลูกสุนัขลงบนพื้นก่อน จากนั้นอุ้มแม่หนูน้อยมาจากอ้อมแขนของหลินจื่อเยวียน
จากนั้นเขาหันไปมองเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์ตัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่อยู่ด้านหลังพลางพูดขึ้น “แกสองตัวไม่มีชื่อก็ไม่ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเรียกพวกแกว่าต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋แล้วกัน!”
เขายื่นมือไปลูบตัวพ่อพันธุ์พลางพูดขึ้น “แกชื่อต้าไป๋” จากนั้นหันไปลูบตัวแม่พันธุ์ “ส่วนแกชื่อเสี่ยวไป๋!”
เจ้าสุนัขสองตัวนี้ดูเหมือนจะเข้าใจที่เขาพูด มันกระดิกหางไม่หยุด ดูเหมือนจะแสดงความหมายว่าตกลง
“นี่คือลูกสาวของฉัน พวกแกสองตัวต้องเล่นกับเธอดีๆ เข้าใจไหม?”
หลังจากที่ต้าไป๋และเสี่ยวไป๋ได้ยินแล้ว พวกมันก็รีบเดินเข้ามาเอาลิ้นขนาดใหญ่ของมันเลียเท้าแม่หนูน้อย แม่หนูน้อยหัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที ความกลัวเมื่อก่อนหน้านี้ได้หายไปหมดแล้ว
ฉินห้าวตงเอาแม่หนูน้อยวางไปบนหลังของเจ้าต้าไป๋ แม่หนูน้อยจับขนตรงคอของต้าไป๋ไว้แน่น แล้วหัวเราะไม่หยุด
“เจ้าหมารีบวิ่งเร็ว! วิ่งไปเลย!”
แม่หนูน้อยตบหลังต้าไป๋อย่างตื่นเต้น แต่คนอื่นกลับทำท่าทีขนลุกด้วยความกลัว นี่มันสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ที่ใครเห็นเป็นต้องกลัวเชียวนะ ตอนนี้กลับถูกขี่เป็นม้าเสียแล้ว
ต้าไป๋ไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไรออกมา มันพาแม่หนูน้อยวิ่งไปรอบๆ เสี่ยวไป๋เองก็วิ่งตามไปติดๆ ราวกับกลัวว่าแม่หนูน้อยจะกลิ้งตกลงมา
“คุณหมอฉิน แบบนี้มันจะดีเหรอ? มันจะไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?”
หลินจื่อเยวียนมองหลานสาวเล่นกับทิเบตันแมสติฟฟ์ทั้งสองตัวนั้น ในใจของเขารู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไร เพราะต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋สามารถกลืนหลานสาวของเขาลงไปทั้งตัวได้อย่างง่ายดาย
“ไม่เป็นไรครับ เจ้าสองตัวนี้มันฉลาดมาก”
ฉินห้าวตงไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย สุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ทั้งสองตัวนี้มีสัญชาตญาณที่ดี มันจะไม่ทำร้ายเด็กน้อย
ในเวลานี้เขาเงยหน้ามองไปยังฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปินที่กำลังค่อยๆ เดินไปที่ประตูกรงสุนัข พลางพูดขึ้นอย่างมีความสุขว่า “คุณสองคนจะไปไหน?”
ฉวี่ว่านไฉเห็นว่าฉินห้าวตงช่วยชีวิตของสุนัขทั้งสี่ตัวไว้ได้ จึงรู้ว่าถ้าตัวเองอยู่ต่อคงไม่เป็นผลดีแน่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะแอบหนี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกฉินห้าวตงเห็นเข้าเสียก่อน
“ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ที่นี่ต่อแล้ว ดังนั้นพวกฉันควรกลับได้แล้ว!” ฉวี่ว่านไฉตอบอย่างอับอาย
“จะไม่มีอะไรได้อย่างไรล่ะครับ?” ฉินห้าวตงมองเขาอย่างนึกสนุก “ เมื่อกี้คุณหมอฉวี่พึ่งพูดไว้ว่า ถ้าผมไม่ถูกเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์กัดตาย คุณจะเรียกผมว่าพ่อ ทำไมคุณถึงลืมเร็วขนาดนี้ล่ะครับ?”
“เอ่อ……” ใบหน้าแก่ๆ ของฉวี่ว่านไฉเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาพูดประโยคนี้จริง แต่ถ้าต้องให้มาเรียกชายวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ ว่าพ่อ เขาจะไปอ้าปากเรียกได้อย่างไร
เขาจึงพูดอย่างอับอายว่า “คุณหมอฉิน นี่มันเรื่องล้อเล่นนะ พวกเราอย่าไปคิดจริงจังเลย ใช่ไหม?”
“พูดแบบนี้แสดงว่าคุณหมอฉวี่ชอบเล่นมุขตลกใช่ไหมครับ?” ฉินห้าวตงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย
“ใช่แล้ว! ใช่แล้ว! ฉันเป็นคนชอบเล่นมุขตลก”
ฉวี่ว่านไฉเห็นด้วยทันที เขานึกว่าฉินห้าวตงคงไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว
“งั้นดีเลยครับ เอาแบบนี้แล้วกัน ผมก็จะเล่นมุขกับคุณหมอฉวี่เหมือนกัน!” ฉินห้าวตงพูดจบ จึงหันไปกวักมือเรียกเสี่ยวไป๋ที่อยู่ด้านข้าง พลางชี้ไปที่ฉวี่ว่านไฉแล้วพูดขึ้น “วันนี้อากาศร้อนเกิน รีบไปฉีกกางเกงเขาเดี๋ยวนี้!”
หลังจากได้ยินคำสั่งแล้ว เสี่ยวไป๋รีบคำรามเสียงต่ำ จากนั้นวิ่งเข้าไปหาฉวี่ว่านไฉทันที
แม้ว่าฉวี่ว่านไฉจะเป็นสัตวแพทย์มานานหลายปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่กลัวสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ เขาหันกลับมาแล้ววิ่ง แต่เสี่ยวไป๋วิ่งเร็วมาก มันตะปบฉวี่ว่านไฉจนล้มลงแล้วกดเขาไว้ที่พื้น จางนั้นอ้าปากกว้างแล้วเริ่มฉีกกางเกงของเขา
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย……”
ฉวี่ว่านไฉร้องเสียงหลง เขาถูกเจ้าเสี่ยวไป๋กัดก้นเข้าให้!
หลิวไห่ปินมองดูอยู่ด้านข้าง เขาไม่กล้าแม่แต่จะเข้าไปช่วย เพราะกลัวเจ้าเสี่ยวไป๋ตะปบเขาลงพื้น
เนื่องจากฟันของสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์คมราวกับใบมีด ในไม่ช้ากางเกงยีนส์ของฉวี่ว่านไฉจึงถูกเสี่ยวไป๋กัดจนฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
โชคดีที่เสี่ยวไป๋ทำตามคำสั่งอย่างซื่อตรง มันแค่ฉีกกางเกงยีนส์ของฉวี่ว่านไฉเท่านั้น กางเกงในสีแดงที่เปียกชุ่มไปด้วยปัสสาวะของเขาไม่ได้ถูกฉีกไปด้วย ดังนั้นมันจึงยังปกปิดส่วนสำคัญของเขาไว้ได้
แม่หนูน้อยที่ขี่หลังต้าไป๋อยู่พอเห็นฉากนี้เข้า จึงพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ตูดเปลือยเปล่า น่าอายจัง! น่าอายจัง! ”
ฉินห้าวตงเดินเข้าไปแล้วย่อตัวลง จากนั้นมองฉวี่ว่านไฉที่หน้าซีดเผือดด้วยสีหน้านึกสนุก ก่อนจะพูดด้วยเสียงหัวเราะว่า “คุณหมอฉวี่ครับ มุขนี้ตลกพอไหมครับ?”
ในเวลานี้ฉวี่ว่านไฉหัวเราะออกที่ไหน ถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋จะไปแล้ว แต่ตัวของเขายังคงสั่นไม่หยุด
“ดูเหมือนว่าคุณหมอฉวี่จะยังเล่นมุขตลกไม่สมใจอยากใช่ไหมครับ?” ฉินห้าวตงกวักมือเรียกเสี่ยวไป๋อีกครั้ง “ฉีกกางเกงในของเขาเดี๋ยวนี้!”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาเด็ดขาด พ่อครับ พ่อสุดที่รัก ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ……”
ฉวี่ว่านไฉยอมแพ้แล้วจริงๆ เขามองไปที่ปากใหญ่ๆ ของเสี่ยวไป๋ แล้วนึกถึงว่าถ้าเจ้าโลกของตัวเองถูกกัดขาดขึ้นมา เสี่ยวไป๋จะต้องส่งเขาไปเป็นขันทีในวังอย่างแน่นอน เพราะสุดท้ายแล้วก็เอาแน่เอานอนกับสัญชาตญาณสัตว์ไม่ได้
“ทำไมล่ะครับ คุณหมอฉวี่ไม่เล่นมุขตลกแล้วเหรอ?” ฉินห้าวตงพูดพลางหัวเราะ
“ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว ฉันจะไม่เล่นมุขตลกอีกแล้ว!” ฉวี่ว่านไฉเสียทีฉินห้าวตรงเข้าแล้ว
“งั้นก็รีบไสหัวไปสิครับ อย่ามาเป็นมลพิษของที่นี่อีกเลย!”
ฉวี่ว่านไฉรู้สึกโล่งใจราวกับว่าได้รับการนิรโทษกรรม เขาลุกขึ้นจากพื้นแล้วพร้อมจะวิ่งได้ทุกเมื่อ แต่ขาของเขากลับอ่อนปวกเปียกเพราะตกใจกลัวเสี่ยวไป๋ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง หลิวไห่ปินจึงรีบพยุงเขาขึ้นมา แล้วชายทั้งสองคนได้วิ่งหนีไปจากตรงนี้อย่างทุลักทุเล
หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว ไป๋จื่อผิงจึงเดินเข้าไปพูดกับฉินห้าวตงว่า “คุณหมอฉิน ทักษะการแพทย์ของคุณนั้นยอดเยี่ยมมาก ฉันยอมรับเลย!”
ขณะที่พูด เขาหยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาจากในกระเป๋าแล้วพูดขึ้นว่า “ในบัตรนี้มีเงินสองแสนหยวน คุณหมอฉินโปรดรับไว้ด้วย!”
ฉินห้าวตงจึงพูดขึ้นว่า “เถ้าแก่ไป๋ พวกเราตกลงกันแล้วนี่ครับ ว่าจะเอาลูกสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์เป็นค่ารักษา เงินก้อนนี้ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ!”
“ไม่เป็นไร คุณเอาลูกสุนัขสองตัวนั้นไปด้วย แล้วก็รับเงินก้อนนี้ไว้ด้วย ต่อไปพวกเราถือเป็นเพื่อนกัน!”
ไป๋จื่อผิงเป็นนักธุรกิจที่ฉลาดมาก เขาเห็นคุณค่าของฉินห้าวตง ด้วยทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้รวมถึงความสามารถในการฝึกสุนัข มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างแน่นอนที่จะสานสัมพันธ์ในฐานะมิตรอย่างจริงใจ
“ก็ได้ครับ ผมจะรับมันไว้แล้วกัน”
ฉินห้าวตงรับบัตรเอทีเอ็มมา ตอนนี้เขาต้องการเงินจริงๆ ต่อไปนี้ตอนที่เขาพาแม่หนูน้อยออกไปเที่ยวเล่น เขาไม่สามารถพกเหรียญเพียงเหรียญเดียวไว้ในกระเป๋าได้
“ยังมีอีกคุณหมอฉิน นี่คือบัตรสมาชิกวีไอพีของคอกสุนัขของฉัน ถ้าคุณมีมันคุณจะสามารถมาเที่ยวเล่นที่นี่ได้ทุกเวลา!”
ไป๋จื่อผิงพูดพลางยื่นบัตรสีทองส่งให้ฉินห้าวตง เขารับมันแล้วใส่ลงไปในกระเป๋า
จบตอน