px

เรื่อง : คุณพ่อยอดหมอเทวดา (重生之奶爸医圣)
ตอนที่ 30 ฉากที่ทำให้พวกเขาอิจฉาตาร้อน


ตอนที่ 30 ฉากที่ทำให้พวกเขาอิจฉาตาร้อน

 

“มันง่ายมาก เพราะผมมีปืนยิงยาสลบอยู่!”

 

ในฐานะที่เป็นสัตวแพทย์มืออาชีพ ฉวี่ว่านไฉมีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี เขาหยิบปืนยิงยาสลบมาจากกล่องเครื่องมือในมือของหลิวไห่ปิน หลังจากบรรจุยาลงไปแล้ว จึงเล็งไปที่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ที่อยู่ในกรง

 

“ป่าป๊า ทำไมพวกเขาถึงต้องใช้ปืนยิงสุนัขด้วยล่ะคะ?” แม่หนูน้อยตะโกนขึ้นอย่างตกใจ

 

ฉินห้าวตงจึงกล่าวว่า “เพราะพวกเขาเป็นพวกขยะ พอรักษาอาการป่วยของสุนัขไม่ได้ ก็จะยิงมันตาย!”

 

“ไอ้หนุ่ม นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ฉวี่ว่านไฉวางปืนยิงยาสลบในมือลง เขาจ้องเขม็งมาที่ฉินห้าวตง จากนั้นหันไปพูดกับไป๋จื่อผิงว่า “คุณไป๋ครับ คุณเองก็เห็นแล้วนี่ครับว่าใครกันแน่ที่พูดจาไร้สาระอยู่ที่นี่ ผมไม่ทำการรักษาแล้วครับ!”

 

ไป๋จื่อผิงมองไปยังหลินจื่อเยวียน เขาไม่รู้ว่าฉินห้าวตงเป็นใคร แต่เขาก็คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้พูดแรงเกินไปจริงๆ

 

หลินจื่อเยวียนจึงกล่าวว่า “เหล่าไป๋ นี่คือฉินห้าวตง คุณหมอฉินที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง”

 

ตอนแรกไป๋จื่อเยวียนนึกว่าหมอเทวดาที่รักษาหลินโม่โม่จนหายดีน่าจะเป็นหมอที่มีอายุแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะเป็นชายวัยรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเดินเข้ามาหาพลางกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “สวัสดีคุณหมอฉิน!”

 

ฉินห้าวตงพยักหน้าเล็กน้อยพลางพูดขึ้น “เถ้าแก่ไป๋ ถ้าหากคุณยังปล่อยให้คนโง่สองคนนี้ทรมานสุนัขของคุณต่อไป พวกเขาจะฆ่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ของคุณอย่างแน่นอน!”

 

“ไอ้นี่ นายด่าใครว่าคนโง่?”

 

“อาจารย์ของฉันเป็นสัตวแพทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด นายเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าอาจารย์ของฉันทรมานสุนัข?”

 

ฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปินโวยวายเหมือนแมวที่หางของมันโดนหนีบไว้

 

ฉินห้าวตงหันไปพูดกับไป๋จื่อผิงโดยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขาทั้งสองคน “ตอนนี้สภาพร่างกายของสุนัขสองตัวนี้อ่อนแอเกินไป ถ้าหากถูกฉีดยาเข้าไป ตัวพ่อพันธุ์อาจจะทนจนมีชีวิตรอดได้ แต่แม่พันธุ์จะต้องตายอย่างแน่นอน”

 

“เอ่อ……”

 

ฟังฉินห้าวตงพูดจบ ไป๋จื่อผิงเริ่มเป็นกังวลในทันที

 

“นายเป็นใคร? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อนายในฐานะสัตวแพทย์ของเจียงหนานมาก่อน?” ฉวี่ว่านไฉถามอย่างเย็นชา

 

“เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณไม่เคยได้ยิน เพราะผมเป็นหมอ ไม่ใช่สัตวแพทย์!”

 

“หมองั้นเหรอ?” ฉวี่ว่านไฉเริ่มหงุดหงิด พลางตะโกนขึ้น “หมอกับสัตวแพทย์เป็นอาชีพที่แตกต่างกัน นายจะมาเสแสร้งต่อหน้าฉันทำไม ต่อให้นายเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ก็ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของสุนัขได้!”

 

ฉินห้าวตงพูดดูถูกเหยียดหยาม “อย่าใช้สายตาพวกขยะแบบคุณมาตัดสินคนอื่น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเพื่อนมนุษย์หรือสุนัข เพียงแต่ว่าคุณไม่เข้าใจมันเท่านั้นเอง”

 

หลังจากรู้ว่าชายวัยรุ่นคนนี้ไม่ใช่สัตวแพทย์ ฉวี่ว่านไฉหมดความอดทนทันที เขาหันไปตะคอกใส่ไป๋จื่อผิง “คุณไป๋ ผมไม่รักษาสุนัขของคุณแล้ว!”

 

ฉินห้าวตงรู้ดีว่าชายแก่คนนี้ต้องการขู่ไป๋จื่อผิง ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความเย้ยหยันว่า “ไม่รักษาจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นสุนัขสองตัวนี้คงถูกคุณฆ่าตาย!”

 

หลิวไห่ปินรีบพูดเสริมอาจารย์ของเขาทันที “นายอย่ามาพูดจาไร้สาระ อาจารย์ของฉันเป็นถึงสัตวแพทย์ที่ดีที่สุดในมณฑลเจียงหนานเชียวนะ”

 

ฉินห้าวตงยิ้มอย่างดูแคลนพลางหันไปพูดกับไป๋จื่อผิง “คุณไป๋ครับ สุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ของคุณไม่ได้ป่วยเพราะความร้อนในร่างกาย แต่เป็นเพราะความเย็นต่างหากล่ะครับ ถ้าหากยังให้คนโง่สองคนนี้ฉีดยาที่มีฤทธิ์ขจัดความร้อนเข้าไปในร่างกายของสุนัข จะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งตายแน่นอนครับ”

 

“ตลก! เป็นเรื่องตลกสิ้นดี!” ฉวี่ว่าไฉตะโกนขึ้น “ไอ้หนุ่ม นายจะไปเข้าใจอะไร แมสติฟฟ์พันธุ์นี้อาศัยอยู่ในทิเบตซึ่งเป็นเขตเทือกเขาแอลป์ พวกมันสามารถอาศัยอยู่ได้ในที่หนาวเย็นที่มีอุณหภูมิติดลบกว่าหกสิบถึงเจ็ดสิบองศา จะป่วยเพราะความเย็นอยู่ในร่างกายได้อย่างไร อย่างน้อยนายก็ควรจะมีความรู้ก่อนจะพูดเรื่องไร้สาระดีไหม?”

 

ไป๋จื่อผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สุนัขแมสติฟฟ์กลัวความร้อน ไม่กลัวความเย็น สิ่งนี้เป็นความรู้ทั่วไปที่ใครๆ ก็รู้ เพราะเหตุนี้เขาถึงได้สั่งทำคอกสุนัขนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ และใช้เครื่องปรับอากาศมาเป็นส่วนช่วยสุนัขพันธุ์นี้ในฤดูร้อน

 

ฉินห้าวตงพูดขึ้น “จริงอยู่ที่สุนัขแมสติฟฟ์อาศัยอยู่ในพื้นที่หนาวเย็นและไม่กลัวความหนาวเย็น แต่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งมันขัดต่อกฎของธรรมชาติ ความเย็นประเภทนี้ยังสามารถทำให้มนุษย์เป็นหวัดได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสุนัขแมสติฟฟ์ที่มีความใกล้ชิดธรรมชาติเลย”

 

เขาหันไปทางไป๋จื่อผิงอีกครั้ง “คุณไป๋ครับ คุณลองคิดดู หลังจากที่เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้เข้าไปในห้องปรับอากาศ พวกมันก็มีอากาศแย่ลงทุกวันใช่ไหมครับ? อีกอย่างช่วงก่อนหน้านี้คุณเชิญหมอมารักษาพวกมัน โดยปกติยาที่เขาใช้กับพวกมันคือยาประเภทขจัดความร้อนในร่างกายใช่ไหมครับ แล้วมันได้ผลไหมครับ?

 

“ถ้าหากผมเดาไม่ผิด คาดว่าสุนัขพันธุ์นี้จะอ่อนแอลงทุกครั้งที่กินยาของพวกเขาเข้าไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ป่วยหนักขนาดนี้!”

 

สีหน้าของไป๋จื่อผิงดูเปลี่ยนไป เป็นอย่างที่ฉินห้าวตงพูดไว้ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าสุนัขสองตัวนี้จะยังปรับตัวไม่ค่อยได้เมื่อมาถึงเจียงหนานในช่วงแรกๆ แต่พวกมันก็ยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ตั้งแต่ที่เขาเอาพวกมันมาไว้ในห้องปรับอากาศ สภาพร่างกายของพวกมันก็อ่อนแอลงทุกวัน

 

จากนั้นเขาจึงเชิญสัตวแพทย์บางส่วนมารักษาอาการของพวกมัน แต่ผลของการรักษากลับทำให้อาการของมันทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างคนพวกนั้นยังคิดว่าร่างกายของมันได้รับความร้อนมากเกินไป จึงใช้ยาที่มีฤทธิ์ขจัดความร้อนในร่างกาย ตอนนี้ดูเหมือนว่าสุนัขของเขากำลังจป่วยหนัก ไม่แปลกใจเลยทำไมแม่พันธุ์ถึงดูหายใจแผ่วเบาเช่นนี้

 

“นายก็แค่หมอที่รักษาคนจะมาทำการรักษาให้สุนัขเนี่ยนะ แถมยังมาบอกว่าฉันวินิจฉัยผิดอีก น่าตลกสิ้นดี!”

 

ฉวี่ว่านไฉหันไปพูดกับไป๋จื่อผิงอีกครั้ง “ทุกศาสตร์การแพทย์มีความเชี่ยวชาญเป็นของตัวเอง คุณอย่าไปฟังหมอคนนี้พูดจาไร้สาระเลย ผมต่างหากที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้ป่วยเพราะความร้อนในร่างกาย สาเหตุที่รักษาพวกมันไม่หาย เพราะหมอพวกนั้นไม่ได้ใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ขอแค่ให้ผมฉีดยาให้สุนัขสองตัวนี้ มันจะต้องอาการดีขึ้นอย่างแน่นอน!”

 

ฉินห้าวตงไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะสิ่งที่เขาควรจะพูด เขาได้พูดไปหมดแล้ว ส่วนจะเลือกวิธีการรักษาแบบไหนนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของไป๋จื่อผิงแล้วกัน ถ้าหากเขาเลือกวิธีของฉวี่ว่านไฉ นั่นคือชะตากรรมของเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้

 

“เหล่าไป๋ ฟังฉันพูดอะไรหน่อยเถอะ คุณหมอฉินมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก มันถูกต้องแล้วที่ควรจะเชื่อเขา!”

 

หลินจื่อเยวียนเชื่อมั่นในทักษะทางการแพทย์ของฉินห้าวตงเป็นอย่างมาก และตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนตัวยงของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“ป่าป๊าของหนูเก่งมาก จะต้องรักษาเจ้าหมาน้อยได้อย่างแน่นอนค่ะ!” แม่หนูน้อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

ไป๋จื่อผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในไม่ช้าเขาก็ตัดสินใจได้ เขาเลือกที่จะเชื่อฉินห้าวตง เพราะบรรดาพวกสัตวแพทย์ตรงหน้านี้เอาแต่ฉีดยาขจัดความร้อนในร่างกายให้สุนัขของเขาจริง จนถึงตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้ผลอะไร มีแต่จะทำให้พวกมันอาการแย่ลงทุกวัน

 

“คุณหมอฉิน โปรดช่วยทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้ด้วย!”

 

พอเห็นว่าไป๋จื่อผิงไม่เชื่อตัวเอง ฉวี่ว่านไฉเปลี่ยนสีหน้าแล้วพูดขึ้น “คุณไป๋ ถ้าตอนนี้ไม่ต้องการให้ผมทำการรักษาพวกมัน พอถึงตอนนั้นมาอ้อนวอนให้ผมช่วยรักษา ผมจะคิดค่ารักษาเพิ่มขึ้นสิบเท่า!”

 

ในมุมมองของเขา หมอที่รักษาอาการป่วยของคนอย่างฉินห้าวตงไม่สามารถรักษาอาการป่วยของทิเบตันแมสติฟฟ์ได้อย่างแน่นอน อีกพักหนึ่งไป๋จื่อผิงจะต้องมาขอร้องตัวเขาแน่ๆ

 

ดังนั้นเขาจึงยังไม่กลับในทันที แต่กลับยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อรอดูเรื่องตลกและรอดูฉินห้าวตงขายขี้หน้า รอให้ไป๋จื่อผิงมาขอร้องเขา

 

ฉินห้าวตงจึงพูดขึ้น “เถ้าแก่ไป๋ ผมสามารถรักษาอาการป่วยของเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้ได้ แต่พวกเราต้องมาพูดเรื่องค่ารักษากันก่อน ผมไม่ต้องการเงิน ผมต้องการแค่ลูกสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนั้น ถ้าคุณตกลง ผมจะเริ่มรักษาทันที!”

 

เขามองออกว่าสุนัขทิเบตันแมสติฟฟ์ของไป๋จื่อผิงเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ อีกอย่างแม่หนูน้อยชอบลูกสุนัขพวกนี้ เขาจึงอยากได้ลูกสุนัขสองตัวนี้กลับไป

 

“ตกลง!” ไป๋จื่อผิงรีบตอบรับในทันที เมื่อกี้ฉวี่ว่านไฉพึ่งจะวินิจฉัยว่าลูกสุนัขสองตัวนี้ไม่น่ามีชีวิตรอด เขาเองก็คิดว่าน่าจะช่วยไม่ได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจถ้าจะให้ลูกสุนัขสองตัวนี้มาเป็นค่ารักษา

 

“ได้ครับ งั้นตอนนี้ผมจะเริ่มรักษาให้เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้แล้ว!”

 

ฉินห้าวตงส่งแม่หนูน้อยเข้าไปในอ้อมแขนของหลินจื่อเยวียน จากนั้นหยิบเอากระเป๋าเข็มออกมาจากในกระเป๋า

 

ไป๋จื่อผิงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหมอฉิน คุณจะทำอะไร?”

 

“ฝังเข็มไงครับ ผมเป็นแพทย์แผนจีน ต้องใช้วิธีฝังเข็มรักษาเจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้”

 

“ฮ่าๆๆ น่าตลกจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินว่ามีการฝังเข็มให้สุนัขด้วย…...น่าตลก น่าตลกจริงๆ”

 

หลังจากฉินห้าวตงพูดจบ ฉวี่ว่านไฉและลูกศิษย์ของเขาพากันหัวเราะร่าทันที ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความดูถูก

 

“คุณหมอฉิน มันจะได้ผลเหรอ” ไป๋จื่อผิงถามอย่างไม่มั่นใจ

 

“ได้ผลแน่นอนครับ สิบนาทีหลังจากนี้เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้จะต้องกลับมากระโดดโลดเต้นอย่างแน่นอน”

 

ฉินห้าวตงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ ในสายตาของเขาไม่มีความแตกต่างระหว่างการรักษามนุษย์และสุนัข อีกอย่างเข็มเงินถูกใช้เพื่อตบตาคนอื่นเท่านั้น การรักษาที่แท้จริงมาจากลมปราณแห่งพงไพรของเขาต่างหาก

 

“ไอ้หนุ่ม เมื่อกี้นายพึ่งจะพูดไปว่าใช้ปืนยิงยาสลบไม่ได้นี่นา ตอนนี้ฉันจะรอดูว่านายจะทำอย่างไร?” หลิวไห่ปินพูดแซะ

 

“ถ้าไม่มีปืนยิงยาสลบ ฉันจะรอดูว่านายจะฝังเข็มให้ทิเบตันแมสติฟฟ์อย่างไร!”

 

สีหน้าของฉวี่ว่านไฉดูเหมือนพร้อมที่จะเพลิดเพลินกับความโชคร้ายของฉินห้าวตงได้ตลอดเวลา เขากอดอกยืนรอดูความวุ่นวายอยู่ตรงนั้น

 

ทุกคนรู้ดีว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์มีนิสัยดุร้าย ด้วยแรงกัดอันทรงพลังของพวกมันสามารถเคี้ยวท่อนไม้ได้เหมือนเกลียวแป้งทอด พวกมันดุร้ายราวกับเสือและสิงโต

 

ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์สองตัวนี้จะป่วยอยู่ แต่คนทั่วไปก็ไม่สามารถเข้าใกล้พวกมันได้ โดยเฉพาะตัวพ่อพันธุ์ที่ดูจะป่วยน้อยที่สุด ดวงตาสีแดงราวกับเลือดของมันทำให้คนที่เห็นต่างพากันแตกตื่น ขนาดครูฝึกสุนัขแห่งสังเวียนสุนัขยังไม่กล้าเข้าใกล้มันเลย

 

ฉินห้าวตงไม่แม้แต่จะมองฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปิน เขาเดินไปยังประตูเหล็ก

ไป๋จื่อผิงจับมือของเขาไว้แล้วถามขึ้น “คุณหมอฉิน แบบนี้มันจะได้ผลเหรอ? ทิเบตันแมสติฟฟ์เป็นสุนัขที่ดุร้ายมาก อีกอย่างตอนนี้มันพึ่งจะคลอดลูกไป นิสัยของมันจะดุร้ายมากขึ้นกว่าเดิม…...”

 

ฉินห้าวตงยิ้มบาง “วางใจเถอะครับ พวกมันกัดผมไม่ได้หรอก!”

 

“ล้อเล่นหรือไง เห็นนายหล่อเลยไม่กัดหรือไง? พวกมันกัดนายจนตายแน่! ถ้าหากใช้เข็มแทงแล้วพวกมันยังไม่กัดนายอีก ต่อไปนี้ฉันจะเรียกนายว่าพ่อ!”

 

สีหน้าของฉวีว่านไฉดูเย้ยหยันและรอคอยความโชคร้ายของฉินห้าวตง เขาเป็นสัตวแพทย์มานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์นอกจากเจ้าของมันแล้ว มันจะไม่กัดใครอีก ขนาดสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ที่มีนิสัยดุร้ายมากๆ เจ้าของมันยังไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เลย

 

ฉินห้าวตงหันไปมองเขาแล้วพูดขึ้น “จำสิ่งที่คุณพูดไว้ให้ดี นี่เป็นสิ่งที่คุณพูดเองนะ อย่ากลับคำภายหลังแล้วกัน”

 

“กลับคำพูดงั้นเหรอ เอาชีวิตรอดออกจากกรงนั่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ฉวี่ว่านไฉพูดขึ้นอย่างเฉยเมย

 

ถึงแม้จะเห็นว่าฉินห้าวตงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ไป๋จื่อผิงก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก เขารีบเรียกให้ครุฝึกสุนัขสองคนคอยระวังอยู่ด้านข้าง ถ้าสุนัขคลั่งขึ้นมาให้รีบช่วยเขาทันที

 

ฉินห้าวตงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาเปิดประตูเหล็กเดินเข้าไป พอเห็นว่าเขาเข้าไปในกรงสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์จริง โดยไม่มีการป้องกันใดๆ ทุกคนจึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา

 

ครูฝึกสุนัขสองคนจับท่อนไม้ในมือไว้แน่น เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าชายวัยรุ่นคนนี้จะทำอะไร เขาอยากตายหรือไง? มันไม่มีวิธีอื่นที่กระตุ้นความตื่นเต้นของตัวเองแล้วเหรอ?

 

แม่หนูน้อยตะโกนเชียร์อยู่ในอ้อมแขนของหลินจื่อเยวียน “ป่าป๊า ระวังน้องหมากัดด้วยนะคะ!”

 

พอเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา เจ้าทิเบตันแมสติฟฟ์ที่เป็นแม่พันธุ์ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่แดงก่ำ

 

ส่วนตัวพ่อพันธุ์จ้องเขม็งไปที่ฉินห้าวตง จากนั้นค่อยๆ เกินเข้ามาหาเขาทีละก้าว

 

อุ้งเท้าขนาดใหญ่ของตัวพ่อพันธุ์ก้าวมาข้างหน้าทีละก้าว จนทุกคนที่อยู่นอกกรงต่างใจเต้นไปตามๆ กัน ไป๋จื่อผิงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกม “คุณหมอฉิน รีบออกมาเถอะ มันอันตรายเกินไป!”

 

“ยังจะบอกว่าตัวเองเป็นหมออีก! นี่มันหมอโรคจิตชัดๆ!” ฉวี่ว่านไฉและหลิวไห่ปินหัวเราะเยาะออกมา พวกเขากำลังรอคอยฉากที่สุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์กัดคน

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังเป็นกังวลนั้น ฉากที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น

 

พ่อพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ขนาดใหญ่ตัวนั้นเดินมาที่ด้านหน้าของฉินห้าวตง มันส่ายหางให้เขาก่อน จากนั้นหมอบตรงหน้าฉินห้าวตงอย่างเชื่อฟัง หัวของมันหมอบติดไปกับพื้น ลิ้นของมันเลียรองเท้าของฉินห้าวตงด้วยความเคารพ ราวกับสุนัขที่ไม่ได้เห็นเจ้านายของมันมานานหลายปี

 

แต่ว่าสุนัขพันธุ์ทิเบตันแมสติฟฟ์ที่ขึ้นชื่อด้านความดุร้ายได้ทำท่าทางเช่นนี้ต่อฉินห้าวตง ช่างเป็นฉากที่ดูเกินจริงมาก จนทำให้ทุกคนอิจฉาตาร้อน!

 

จบตอน

 

รีวิวผู้อ่าน