px

เรื่อง : Star Rank Hunter
Chapter 10 ความทุกข์ของแคร์รี่


ซิลลินไม่ได้ตอบรับทันทีที่ดิแอสชวนให้เข้าร่วมทีม แต่ดิแอสก็ไม่ได้รีบร้อนหรือบีบบังคับซิลลินแต่อย่างใด เพราะคงต้องใช้เวลาเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจระหว่างกันให้มากกว่านี้อีกหน่อย นั่นจะส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ในอนาคตของพวกเขาเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น

ในทุกวันซิลลินจะต้องโดนแคร์รี่คอยกวนใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ซิลลินเข้าร่วมทีม แคร์รี่ไม่ใช่คนที่จะใจแคบไม่ยอมรับในคนที่มีความสามารถ เขาคลั่งไคล้ในการต่อสู้มากจึงมักจะลากซิลลินให้ไปที่ห้องฝึกซ้อมทุกวันเพื่อไปฝึกกับเขาอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นการต่อสู้แบบมือเปล่า ไม่ได้ต่อสู้จริงจังถึงขั้นฆ่าฟันกันทั้งสองจึงไม่ได้ใช้อาวุธในการซ้อม แต่ถึงอย่างนั้นแคร์รี่ก็ดูมีความสุขมากกับการฝึกซ้อม สไตล์การต่อสู้ของซิลลินเป็นแบบที่แคร์รี่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันไม่เพียงยืดหยุ่นแต่ยังมีความแข็งแรงอยู่ในตัว ทั้งทรงพลังและอ่อนโยนไปพร้อมกัน ทั้งนิ่งสงบและมีความรุนแรง มันสามารถเปลี่ยนให้เป็นในรูปแบบที่ซิลลินต้องการได้ในทันที

แม้ว่าซิลลินจะเป็นเพียงยีนลำดับ B แต่แคร์รี่ก็ไม่สามารถที่จะจัดการซิลลินได้ง่ายๆ เพราะซิลลินก็มีพลังมากพอที่จะต่อสู้กับยีนลำดับหนึ่งอย่างเขาได้ แต่ขณะเดียวกันซิลลินก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างระหว่างที่ฝึกซ้อมกับแคร์รี่ด้วย การเผชิญหน้ากับรูปแบบของการต่อสู้ที่แตกต่างกัน เป็นประโยชน์อย่างมากที่จะฝึกซ้อมและปรับปรุงความสามารถของตนเอง ขณะที่กำลังฝึกซ้อมแคร์รี่ได้เล่าให้ซิลลินฟังว่าเขานั้นมีประสบการณ์ในการสู้รบมามากมายและเล่ายกตัวอย่างถึงเหตุการณ์นั้นๆ ให้ซิลลินฟังด้วย อย่างไรก็ตามคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าแคร์รี่นั้นมีประสบการณ์ในฐานะนักล่ามากกว่าซิลลินจริงๆ

สำหรับฝูงบินที่เดินทางระหว่างหน่วยรบบ่อยๆ บุคลากรในทีมของพวกเขาต้องรู้วิธีการต่อสู้ แม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญนัก แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ขั้นพื้นฐานไว้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายของนักสู้ระดับท็อปสูงเกินไป ดิแอสไม่อนุญาตให้แคร์รี่ขับยานอวกาศออกไปเที่ยวเล่นเพื่อความสนุกสนานได้ ดังนั้นแคร์รี่จึงชวนซิลลินซ้อมจำลองการต่อสู้ด้วยคอมพิวเตอร์บนเครื่องแทน ถึงแม้ว่ามันจะไม่สนุกเท่ากับของจริงก็ตาม แต่การจำลองต่อสู้ด้วยคอมพิวเตอร์ก็ยังดีพอที่จะช่วยให้ซ้อมได้เข้าขากันบ้าง

ตอนแรกซิลลินเองไม่ค่อยคุ้นเคยกับยานรบนัก แม้ว่าเขาจะเคยมีประสบการณ์กับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและรถบินบนดาวเคราะห์สีน้ำตาลที่เขาจากมาบ้าง แต่เขาไม่เคยต้องมาแข่งกับนักสู้จริงๆ มาก่อน แคร์รี่จึงได้รับชัยชนะในรอบแรกไปอย่างสบายๆ แต่แข่งไปไม่ถึงห้ารอบแคร์รี่ก็เริ่มพ่ายแพ้ต่อซิลลิน ยิ่งแข่งมากครั้งเท่าใดเขาก็ยิ่งแพ้อย่างหมดท่าและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ แคร์รี่จึงเริ่มเปลี่ยนไปแข่งขันแบบอื่นๆ ก่อนที่เขาจะเริ่มพ่ายแพ้ไปอีกรอบ แคร์รี่หวังว่าเขาจะแข่งขันชนะซิลลินได้สักอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่แคร์รี่หวัง ครั้งต่อมาเขาก็ยังคงพ่ายแพ้หมดรูปให้กับซิลลินอีกครั้งหลังจากที่พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนไปแข่งเครื่องบินรบตัวใหม่กันได้ไม่นาน “นายมันไม่ใช่คนล่ะ!!”แคร์รี่พูดอย่างหมดอารมณ์และเกาผมที่ยุ่งเหยิงของเขา หลังจากที่เพิ่งพ่ายแพ้ซิลลินจากการต่อสู้จำลองด้วยคอมพิวเตอร์อีกครั้ง

“นายต้องการการปลอบใจจากฉันไหม?” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาปลุกแคร์รี่ให้ตื่นจากภวังค์ ซิลลินหันไปตามต้นเสียง เขาพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าแคร์รี่ เขามีรูปร่างผอมบาง สวมชุดนอนรูปสตรอเบอร์รี่และรองเท้าแตะสีขาวลายหิมะที่กำลังมองมาทางพวกเขาอย่างกระตือรือร้น

หรือเขาจะเป็นวิญญาณของเด็กกันนะ?.. ซิลลินสงสัยกับตัวเอง เพราะมันยากที่จะจินตนาการว่าจะมีใครแต่งตัวเพี้ยนๆ แบบนี้มาอยู่บนเรือรบลำนี้บ้าง เมื่อแคร์รี่เห็นว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเรียกนั้น เขาก็ทำสีหน้านิ่งเฉยและเงียบอยู่แบบนั้น ใครๆก็คงจะสังเกตได้ว่าเขารู้สึกหงุดหงิดมากแค่ไหนจากกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขา และก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากแคร์รี่สักนิด ..นายคนประหลาดนี่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขาสินะ? ใช่สิ..เขาอยู่ที่นี่ในสภาพที่เพิ่งตื่นนอนได้ เพราะเขาไม่ต้องทำอะไรสักอย่างน่ะสิ!!

“เฮ้.. ยูดี้นายตื่นแล้วเหรอ?” เสียงของบีเวอร์ทักทายยูดี้ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า ขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมทั้งหันมองไปรอบๆ แล้วหยุดมองที่ซิลลิน และเขาก็หันไปหัวเราะใส่แคร์รี่เล็กน้อย “ซิลลินนายชนะอีกแล้วเหรอ? เท่าที่ฉันเห็นนายพัฒนาไปได้เร็วมากเลยนี่ ..ตอนนี้เรือโทกำลังตามหานายอยู่ เขารอเจอนายที่ห้องควบคุมนะ” ซิลลินพยักหน้าเชิงรับทราบไปทางยูดี้ และทักทายเขาก่อนที่จะออกไปพร้อมกับบีเวอร์ ทิ้งให้ยูดี้และแคร์รี่จ้องหน้ากันและกันตามลำพังอยู่เบื้องหลัง

“เด็กหนุ่มคนนั้นคือซิลลิน คนที่เรือโทกำลังพูดถึงสินะ” ยูดี้พูดกับแคร์รี่หลังจากที่ซิลลินเดินลับไปแล้ว “ตัดสินจากการตอบสนองและระบบประสานงานของร่างกาย ร่วมทั้งทักษะการควบคุมยานบินรบ และรวมกับข้อมูลบางอย่างที่ฉันได้ยินมาในก่อนหน้านี้..ตอนนี้ฉันได้ข้อสรุปล่ะ” แคร์รี่ทำท่าปิดหูตัวเองไว้ และพูดออกมาอย่างเหลืออด “ฉันไม่ฟัง ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแหละ!!”

“ตอนนี้เขาดูง่ายสำหรับนายมากเลยล่ะ..” ยูดี้ยังคงยั่วโมโหแคร์รี่ไม่หยุด

“.......”นี่นายเรียกว่าคำปลอบใจเหรอ ?!.. นี่มันใช่คำปลอบใจซะที่ไหน!! แคร์รี่เริ่มโมโหพอที่จะจัดการไอ้บ้ายูดี้นี่ให้ตายคามือได้เลยทีเดียว

แต่ยูดี้ไม่ได้สนใจแคร์รี่สักนิด เขาเกาศีรษะแล้วเดินออกจากประตูไป ก่อนที่จะจากไปก็ไม่ลืมที่จะทิ้งระเบิดไว้ให้แคร์รี่หนึ่งลูก ทำให้แคร์รี่เกือบจะพ่นเป็นเลือดออกมาด้วยความโกรธอย่างถึงขีดสุด “นายมันอึชัดๆ ..เจ้าอึแคร์รี่ ฮ่า ฮ่า”

“ยูยยยยยยยยยดี้!! ฉันจะไปฆ่าแกเดี๋ยวนี้!!” แล้วเสียงการต่อสู้ก็ดังออกมาจากห้องฝึกซ้อม เจ้าโด(อีกัวน่าที่อยู่กับยูดี้)หยุดเดินไปยังห้องฝึกซ้อมและหมุนตัวกลับแทบจะทันที มันหลบหนีไปในเส้นทางตรงข้ามทันที ที่นั่นมีคนอันตรายสองคนกำลังสู้กันอยู่ข้างใน ถ้าเข้าไปตอนนี้มันคงได้กลายเป็นเหยื่อจากการต่อสู้ไปโดยไม่เต็มใจแน่ๆ

ซิลลินเพิ่งจะหลับได้นานขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ และเวลากว่าครึ่งของวันเขาถูกลากออกไปโดยแคร์รี่เพื่อไปยังห้องฝึกซ้อมแล้วเริ่มแข่งขันกันอีกครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือเขาก็ใช้ไปกับการกินและการนอนหลับเท่านั้น ในตอนแรกดิแอสและคนอื่นๆ คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะพักผ่อนหลังจากใช้พลังงานไปจนหมด ซึ่งยูดี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะนอนหลับไปเป็นระยะเวลาหนึ่งหลังจากที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักหน่วง

แต่เหตุผลดังกล่าวได้รับการปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เนื่องจากซิลลินนอนหลับได้ดีเกินไป มันเกินกว่าปกติ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกซ้อมต่อสู้กับแคร์รี่เขาก็ยังคงหลับได้ดีเหมือนเดิม และมีสัญญาณว่าเขาจะใช้เวลาในการนอนของเขาจะนานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะเวลาที่เขาใช้สมองและเวลาในการนอนของเขาก็มีสัดส่วนที่สมบูรณ์เท่าเทียมกันดี ดิแอสได้ลองให้หมอบนยานตรวจสุขภาพของซิลลิน ผลก็คือซิลลินมีสุขภาพที่ดีมาก และหมอไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมซิลลินจึงนอนหลับมาก ซึ่งซิลลินเองก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะองค์ประกอบในร่างกายของเขาเอง แต่ดิแอสก็ยังคงกังวลเรื่องอาการ“นอนมากไป”ของซิลลิน นั่นมันทำให้เขากลัวว่าซิลลินจะเป็นโรคนอนเกินพอดี(Hypersomnia)

ตอนนี้ดิแอสกำลังวางแผนที่จะแนะนำซิลลิลให้เข้าร่วมทีมกับสมาชิกคนอื่นๆในกองกำลังทหารรักษาการณ์กองเรือรบ B ฝูงบินที่หก แต่ผู้บัญชาการบางคนยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะชอว์ตันที่เป็นผู้บัญชาการกองเรือรบ Bเป็นพี่ชายของดิแอสแล้วล่ะก็ตำแหน่งผู้บัญชาการฝูงบินที่หกของเขาคงจะต้องสั่นคลอนเป็นแน่ และยิ่งตอนนี้ซิลลินก็มีอาการเซื่องซึม เฉื่อยชา มันคงจะไม่ง่ายที่จะโน้มน้าวให้พวกเขายอมรับซิลลินเข้าร่วมกับกองกำลังหลักแน่

โดยการแข่งขันระหว่างกองกำลังทั้งสิบของกองเรือรบ B กำลังเริ่มต้นและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละกองกำลังได้เตรียมการต่างๆ มาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะเอาชนะกองกำลังอื่นๆ โดยชอว์ตันไม่ได้อธิบายรายละเอียดใดๆ มากนัก แต่ดิแอสรู้มาว่ากองเรือรบ B ฝูงบินที่หกนั้นมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเพิ่มอัตราความสำเร็จให้มากขึ้น แต่ปัจจุบันพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนบุคคลที่มีความสามารถ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดิแอสกระตือรือร้นอยากจะได้ซิลลินมาเข้าร่วมในกองกำลังของเขาเป็นอย่างมาก

“นายเป็นนักล่า.. ใช่ไหมซิลลิน?” แม้ว่ามันจะเป็นประโยคคำถาม แต่ดิแอสก็พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่ซิลลินรู้ดีว่าดิแอสคงต้องตรวจสอบประวัติของเขาอยู่แล้ว แต่ตราบใดที่ชิปแปลกๆนั่นและเจนญ่ายังคงไม่ถูกพบ ซิลลินก็ยังสามารถวางใจได้อยู่ นอกจากนี้ซิลลินก็เชื่อว่าพวกเขาจะต้องค้นพบเพียงตัวตนเท็จที่เขาสร้างขึ้นมาและคงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้แน่ เพราะไม่มีใครจะคาดคิดว่าซิลลินสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของตนเองจากดีเอ็นเอได้โดยตรง “ใช่.. แต่ฉันก็เป็นแค่นักล่าเงาที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบเล็กๆ เท่านั้นแหละ” นักล่าที่ทำงานไปวันๆ คงไม่มีอะไรไปเทียบได้กับกองกำลังนักล่าได้ แต่ซิลลินก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องรู้สึกแย่หรือต้องหนีจากอดีตของเขาไป

ดิแอสถอนหายใจออกมา “ฉันไม่สนว่าในอดีตนายจะทำอะไรผ่านมา ตราบใดที่ตอนนี้นายเป็นคนดีมีความสามารถและมีความมุ่งมั่น นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันเต็มใจที่จะต้อนรับนายให้เข้ามาอยู่ในทีมของฉัน ตอนนี้นายก็ได้อยู่บนยานรบนี่มาสองสามวันแล้ว นายคงเริ่มคุ้นเคยกับวิธีการทำงานของเราแล้ว เมื่อเทียบกับอีกสามกองกำลังนักล่าที่เหลือ กองกำลังของเราสามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงได้ตั้งชื่อยานรบนี้ว่า..กองเรือรบอิสระ” เมื่อเห็นว่าซิลลินนิ่งเงียบไป ดิแอสจึงพูดขึ้นมาว่า “จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล และไม่มีที่สิ้นสุดนี้เป็นความฝันของนักล่าทุกคน” แต่ความฝันนี้ต้องการการสนับสนุน นักล่าทั่วไปไม่อาจเข้ามาสัมผัสในพื้นที่ที่กว้างใหญ่นี้ได้ นั่นจึงเป็นข้อจำกัดของการทำงานเพียงคนเดียว และหากเข้าร่วมกับกองกำลังนักล่า นั่นจะทำให้เขาสามารถไปได้ไกลและสูงขึ้นกว่าเดิมอีกมาก

ซิลลินเข้าใจในทุกคำพูดของดิแอส เขารู้ว่าการเข้าร่วมกับกองกำลังนักล่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยตามหาครอบครัวของเจนญ่าได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งตั้งแต่ที่ซิลลินก้าวขึ้นมาบนยานรบลำนี้ เขาค่อนข้างพึงพอใจกับบรรยากาศของฝูงบินที่หกนี้พอสมควร และตอนนี้ซิลลินกำลังมองออกไปข้างหน้าเพื่อสำรวจดาวฤกษ์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า เขาอดคิดไม่ได้ว่า จักรวาลนี้มันช่างลึกลับจริงๆ..

“ฉันจะต้องทำอะไรบ้าง?” ซิลลินเอ่ยถามขณะที่มองไปทางดิแอส ซึ่งประโยคนั้นเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการตัดสินใจของซิลลิน นั่นทำให้ความหวังที่ดิแอสเคยหวังไว้เข้าใกล้ความจริงขึ้นมา ตราบใดที่ซิลลินตัดสินใจเข้าร่วมทีมกับดิแอสแล้ว เขาก็จะพยายามอย่างดีที่สุดในการเผชิญหากับผู้บัญชาการที่น่ารำคาญพวกนั้นให้ยอมรับในตัวซิลลินให้ได้ “ฉันขอบอกไว้เลยว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีมาก นายไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลยตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ใครคือผู้บัญชาการฝูงบินที่หกนี่..ไม่ใช่ฉันรึไง~~” ดิแอส พูดอย่างโอ้อวดเพื่อให้ซิลลินวางใจ แม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับความผิดปกติในการนอนหลับของซิลลินมาก แต่ก็ต้องพับปัญหานี้เก็บไปก่อนเพราะตอนนี้เขาต้องมุ่งมั่นเพื่อเฟ้นหามาตรการตอบโตที่จะสามารถเอาชนะกองกำลังอื่นๆ ให้ได้ซะก่อน

รีวิวผู้อ่าน