ในทางตรงกันข้ามเขตการปกครอง A ถึง C ไม่ใช่สถานที่ที่จะไปได้ง่ายๆ โดยเขตการปกครอง A ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยองค์กรทางการเมืองและรัฐบาลพันธมิตรแห่งสหพันธ์กาแลกติก, ส่วนเขตการปกครอง B เป็นที่เลื่องชื่อเกี่ยวกับสถาบันการศึกษา และสถาบันการเงินหลายแห่ง สำหรับเขตการปกครอง C ส่วนใหญ่ของดินแดนนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของทหารและสถาบันการทหารแห่งสหพันธ์กาแลกติก ซึ่งสถานศึกษาที่เลื่องชื่อที่สุดคือ โรงเรียนเตรียมทหารแห่งสหพันธ์กาแลกติก ซึ่งเขตการปกครอง A B และC เป็นที่รู้จักกันดีของประชาชนในสหพันธ์กาแลกติกว่าเป็น “สามเขตการปกครองแห่งความรุ่งเรือง” และไม่ใช่ที่ที่ใครก็สามารถไปได้ ..โดยสิ่งที่เห็นภายนอกอาจดูธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในอาจซ่อนสิ่งที่คาดไม่ถึงเอาไว้ก็ได้ใครจะรู้
ซิลลินนั่งอยู่ในร้านอาหาร หันหน้าออกไปมองวิวทิวทัศน์ภายนอก เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์สีน้ำตาลที่แสนวุ่นวาย ดาวเคราะห์ X-C100 ดูเป็นดาวเคราะห์ที่มีระบบระเบียบ และเพอร์เฟคในทุกแห่งจริงๆ ที่นี่มีรถบินเร็วๆ ขับไปตามถนนเพื่อขนส่งสินค้าขนาดเล็กใหญ่ นี่สมกับเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมขนส่งของเขตการปกครอง X จริงๆ ซิลลินซื้อหนังสือพิมพ์เป็นที่นิยมในสหราชอาณาจักรและภาพเคลื่อนไหวที่กะพริบได้ เหมือนที่หลายคนพูดไว้สิ่งที่สะดุดตาสามารถเรียกความสนใจในชีวิตประจำวันจากผู้คนได้เสมอ
ตั๋วไปเขตการปกครอง K ได้ถูกซื้อเรียบร้อยแล้ว และสิ่งที่ซิลลินจะทำในตอนนี้คือจิบชาและรอขึ้นเที่ยวบินของเขา จากท่าทางการนั่ง การดื่ม ของซิลลิน เขาดูไม่เหมือนคนที่มาจากพื้นที่ยากจนเลยสักนิด เพราะซิลลินได้รับการสั่งสอนและปลูกฝังจากเจนญ่าตั้งแต่อายุยังน้อย แต่นี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาทำเพื่อให้เหมาะกับลักษณะภายนอกปัจจุบันของเขา เขาสามารถทำตัวเป็นอันธพาลได้หากว่ามันจำเป็น..
“เฮ้~~ ที่รัก มีโต๊ะฟรีสำหรับฉันไหม?” ชายหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลประบ่า สวมแว่นตากันแดด และเสื้อผ้าแบบแฟนซี เดินเข้าไปในร้าน พร้อมถือกระเป๋าเอกสารสีดำใบใหญ่ กระดุมสองเม็ดด้านบนสุดของเสื้อถูกปลดออก เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อแน่นที่แสดงถึงความเป็นชายหนุ่มสุดฮ็อต เขาล้อเลียนพนักงานเสิร์ฟที่มาบริการเขา แต่สายตาของเธอไม่ได้มองหน้าเขาสักนิด กลับมองไปที่แผงอกกล้ามเนื้อแน่นๆ ของเขาแทน
ขวามือถัดไปของเขาเป็นพนักงานเสิร์ฟหุ่นยนต์ แต่เขาก็เลือกที่จะเรียกพนักงานเสิร์ฟที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเคาน์เตอร์อย่างกระปรี้กระเปร่า นี่คงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป เพราะพนักงานเสิร์ฟดูไม่แปลกใจกับสถานการณ์นี้ และตอบรับเค้าด้วยรอยยิ้ม “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ คะ แต่เราไม่มีโต๊ะฟรีในขณะนี้ อย่างไรก็ตามยังมีที่นั่งว่าง คุณต้องการรอหรือว่าจะนั่งร่วมกับโต๊ะอื่นไหมคะ?”
“โอ้ พระเจ้า!! นี่ไม่มีโต๊ะไหนเหลือเลยเหรอ โถ..ฉันนี่ช่างโชคร้ายจริงๆ..” ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ร้านผ่านแว่นตากันแดดของเขา ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่โต๊ะของซิลลิน
“โอ้ว.. โต๊ะนั้นไง เดี๋ยวฉันจะไปขอเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงนั้นของเราหน่อย..”
“โอเค เพื่อนตัวน้อย.. ฉันนั่งด้วยคนนะ~~” รอยยิ้มของพนักงานเสิร์ฟเริ่มหายไป ถึงมันจะเป็นโต๊ะที่นั่งได้หกคน แต่ว่าก็มีคนนั่นอยู่ตรงนั้นแล้ว แม้จะรวมเขาแล้วก็แค่สองคน แต่ทำไมเค้าต้องไปพูดเชิงบังคับแบบนั้นด้วย
แม้ว่าจะมีโต๊ะที่อยู่ในร้านหลายแห่งที่นั่งเพียงหนึ่งหรือสองคน แต่ดิแอสก็เลือกนั่งโต๊ะนี้ด้วยความตั้งใจ เพราะเด็กคนนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก และด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ก็ตามว่าเคยเจอเด็กคนนี้ที่ไหน..
ดิแอสวางกระเป๋าไว้ด้านข้างอย่างลวกๆ และนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของซิลลิน เขาไม่คิดจะถอดแว่นกันแดดออก แม้ว่าจะนั่งอยู่ในร้านแล้วก็ตาม ดิแอสตั้งท่าทำมาดนิ่ง พร้อมบอกกับตัวเองในใจว่า.. นิ่งเข้าไว้ อย่าทำกระโตกกระตากไป
ดิแอสรับเมนูจากพนักงานเสิร์ฟ เขาขยับนิ้วมือไปเรื่อยๆ ขณะที่กำลังคิดว่าจะสั่งอะไรดี
"อืม.. ผมได้เครื่องดื่มที่ต้องการแล้ว เอานี่แล้วกัน" "ได้คะ.. โปรดรอสักครู่นะคะ"
หลังจากสั่งเครื่องดื่มที่ต้องการแล้ว ดิแอสก็มองไปที่ซิลลิน และพูดว่า “เฮ้.. เพื่อนตัวน้อย นายกำลังรอเที่ยวบินอยู่เหรอ?”
ซิลลินพยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่ด้วยลักษณะทางกายภาพภายนอกของดิแอสที่ซิลลินเห็นทำให้เขาตอบว่า “ใช่ครับลุง..”
ละ... ลุง ลุงงั้นเหรอ???!!!!! นี่มันหยาบคายมากเลยนะ สำหรับคำที่ใช้เรียกคนที่หล่อ สดใส มีเสน่ห์ และน่าสนใจมากๆ อย่างฉันว่าลุงน่ะ!! ถ้าซิลลินเป็นคนรู้จักของเขาล่ะก็ คงไม่รอดได้ลิ้มชิมรสบาทาเขาไปแล้วแน่ ..แต่อืม เด็กคนนี้ก็น่าสนใจดีนะ
จากช่วงเวลาที่ดิแอสเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ซิลลินก็เฝ้ามองเขามาตลอด เขาอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายผู้นี้ แต่ซิลลินรู้สึกว่าชายคนนี้มีพลังที่ซ่อนไว้ภายในมากเลยทีเดียว มันมากยิ่งกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยเจอมาเสียอีก แม้ว่าชายหนุ่มจะเรียกเขาว่า “เพื่อนตัวน้อย” ทั้งที่เขาอายุสิบเจ็ดปีแล้วก็ตาม แต่ซิลลินก็ไม่ตอบโต้ แต่แก้เผ็ดกลับไป โดยเรียกชายคนนี้ว่า “ลุง” แทน
ดิแอส หัวเราะน้อยๆ และหยิบเครื่องดื่มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ แล้วยกซดหมดแก้วภายในครั้งเดียว “เหมือนกันเลย.. ฉันซื้อตั๋วไปยังเขตการปกครอง K แล้วนายล่ะ?”
“ผมก็เหมือนกัน..”
“อ่าฮ่า.. ทำไมดูเหมือนว่าเราสองคนจะมีโชคชะตาต่อกันนะ”
พนักงานเสิร์ฟที่ทำขนมอยู่ข้างในร้าน หรี่ตาลงข้างหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงของดิแอส ..มีโชคชะตาต่อกันงั้นเหรอ? ก็ร้อยละแปดสิบของคนที่อยู่ตรงนี้ก็รอเที่ยวบินไปเขตการปกครอง K กันทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าเขาเป็น “คน” คนเดียวในที่นี้ที่มีโชคชะตาต่อตานี่ งั้นก็หมายความว่าคนอื่นๆ เขาเป็นลิงรึไง?!
“ขอบคุณมากจ๊ะ ที่รัก..” ดิแอสพูดขอบคุณพนักงานเสิร์ฟขณะเธอที่มาเก็บเงิน เขาทำท่าทางเจ้าชู้ใส่เธอโดยการจับมือที่ขาวอ่อนนุ่มของเธอมาจับเอาไว้
“ยินดีคะ..” เธอยิ้ม และทำทีเป็นไม่สนใจในสิ่งที่เขาทำ
ดิแอสไม่ได้ใส่ใจรอบๆ นัก แล้วหันกลับมาคุยกับซิลลินอย่างจริงจัง ทั้งยังแสดงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนเช้าของวันนี้พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน ซึ่งส่วนใหญ่ซิลลินรับบทเป็นผู้ฟังที่เงียบสงบ และเขาจะพยักหน้าหรือตอบสั้นๆคำสองคำก็ต่อเมื่อดิแอสถามความคิดเห็น ดิแอส พยายามทำตัวสนิทสนมกับซิลลินให้มากขึ้น แม้ซิลลินจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย แต่เขาเองก็รู้สึกเหนื่อย ซึ่งกล้ามเนื้อภายในของเขาพร้อมที่จะตอบสนอง หากเกิดปัญหาขึ้นเพียงเล็กน้อย
“โอ้ว..นี่ฉันลืมที่จะแนะนำตัวเองไปได้อย่างไรเนี่ย” ดิแอสลุกมา
ยืนตรงหน้าซิลลินด้วยท่าทีที่ดูภาคภูมิใจเสียเต็มประดา พร้อมกับพูดว่า “ฉัน..ดิแอส”
เมื่อแนะนำตัวเสร็จแล้ว เขาก็เอนตัวลงนั่งกับเก้าอี้นุ่ม พร้อมกับยิ้มกว้างให้ซิลลิน ..ถ้าจะแปลความหมายในท่าทางของเขาแล้วล่ะก็ คงเป็น ..เคารพฉันซะสิ! กราบไหว้ฉันซะ! พระเจ้าของนายอยู่ตรงนี้แล้วไง! - -"
มีแผงไฟที่มองไม่เห็นล้อมรอบโต๊ะทุกโต๊ะ ดังนั้นคนที่อยู่อีกฟากหนึ่งจะไม่สามารถได้ยินบทสนทนาของพวกเขาได้เลย นอกจากนี้ขณะที่ดิแอสกำลังพูดอยู่ เขาก็ยกแขนขึ้นมาไว้บนโต๊ะ เพื่อบังไม่ให้คนที่อยู่ด้านนอกอ่านริมฝีปากของเขาได้ โดยธรรมชาติแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดาในสิ่งที่เขาพูดได้จากการอ่านริมฝีปาก
ซิลลินกระพริบตา ผ่านไปสักครู่เขาก็เริ่มตั้งตัวได้และพูดว่า “โอ้ ฉัน..ซิลลิน”
“.....”
ปฏิกิริยาของซิลลินทำให้ดิแอสลำลักเล็กน้อย
นี่มันไม่ถูกต้องอ่ะ.. ถ้าเขามาจากครอบครัวแถวนี้ ไม่มีทางที่เขาจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับฉันนะ
ดิแอสคิดว่าซิลลินดูแปลกๆ แต่แล้วเขาก็ตอบทันทีด้วยท่าทางที่สนใจในตัวซิลลิน “นายตลกมากเลยอ่ะ!!”
ซิลลิน “.....”
ที่ว่า “ตลก” นี่มันหมายความว่าไงน่ะ?
“อะเฮม.. เอาล่ะทีนี้เราก็รู้จักกันและกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักนายนะ ซิลลิน” ดิแอสยื่นมือออกไปจับมือกับซิลลิน
ซิลลินจ้องมองดิแอสที่ยื่นมือออกมาครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วเอื้อมมือไปจับกับมือของดิแอส “ผมก็ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณเช่นกัน.. มิสเตอร์ดิแอส”
แม้จะจับมือกันเพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่ภายในซิลลินกลับรู้สึกตกใจ ตกใจมากเลยทีเดียวล่ะ!! เพราะเมื่อมีการสัมผัสกับบุคคลอื่นชิพของเขาจะตรวจสอบข้อมูลของคนผู้นั้น และจากข้อมูลนี้ซิลลินได้พบว่า ดิแอสคนนี้มียีนลำดับที่หนึ่ง!! แม้ซิลลินจะได้รู้จักกับใครหลายๆ คนในช่วงก่อนหน้านี้ แต่พวกเขามีลำดับยีนที่ดีที่สุดก็แค่ B เขาคิดว่าอีกไม่นานคงจะได้พบกับยีนลำดับหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันเร็วขนาดนี้
เขาเป็นนักล่าหรือเปล่านะ?
การจับมือ.. ไม่ใช่การทักทายโดยทั่วไป แต่เป็นพวกนักล่าที่มักจะกอด หรือจับมือกันมากกว่า เนื่องจากมันจะเป็นเหมือนการท้าทายไปในตัวนั่นเอง เพื่อแสดงการแข่งขันว่าใครจะแข็งแรงหรือเก่งกาจกว่ากัน นักล่าจะใช้เมื่อต้องการจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนผู้นั้นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าพอที่จะทำ ผู้ที่ประมาทมากเกินไป อาจทำให้ตนเองบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตได้
แต่ดิแอสสัมผัสได้ว่าซิลลินรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะตอบรับตามมารยาท เขาคิดในใจว่าเด็กคนนี้น่าสนใจไม่เลวเลย แม้ว่าดิแอสจะไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรเป็นพิเศษขณะที่จับมือกับซิลลิน เขาก็รู้สึกได้ว่าซิลลินเป็นเด็กที่น่าสนใจมากที่สามารถจับมือกับเขาได้อย่างสงบและไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด ถ้าซิลลินไม่ใช่พวกหัวอ่อน.. เขาก็คงเป็นพวกหนังสือที่มีดีภายใน แตกต่างจากหน้าปกที่ดูไม่น่าจนใจแน่
บางทีดิแอสก็นึกถึงตัวเอง ..แต่หลังจากตัดสินจากปฏิกิริยาของซิลลินแล้ว ดูเหมือนว่าซิลลินคงจะไม่รู้จักเขาจริงๆ แล้วเด็กน้อยคนนี้มาจากไหนกันนะ? ซิลลินบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาชื่อ “ซิลลิน” โดยที่ไม่พูดถึงนามสกุลของตัวเองเลย ดิแอสเกิดความอยากรู้ขึ้นมา ดังนั้นเลยคิดจะถามซิลลินเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ขณะนั้นเสียงทางสายการบินประกาศถึงเที่ยวบินก็ดังขึ้น โดยคนกว่าร้อยละแปดสิบที่นั่งอยู่ในร้านก็ลุกขึ้น และมุ่งหน้าตรงไปยังสถานี ดิแอสทำตัวติดกับซิลลินอย่างกับติดกาวขณะที่เดินเข้าไปในสถานีด้วยกัน มีคนไม่กี่พันคนที่ขึ้นไปบนเที่ยวบินนี้ ซิลลินเลือกนั่งในห้องโดยสารขนาดกลาง และเขาก็ต้องประหลาดใจที่ ดิแอสก็ยังเลือกนั่งโดยสารขนาดกลางเหมือนเขา แล้วดิแอสก็จงใจแลกที่นั่งกับคนอื่นเพื่อที่เขาจะได้นั่งข้างซิลลิน ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในห้องโดยสารแล้ว ดิแอสก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะถอดแว่นกันแดดที่สวมไว้ออกแต่อย่างใด
ถึงตอนนี้ซิลลินรู้สึกได้แล้วว่า เที่ยวบินนี้ท่าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว...