px

เรื่อง : ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family)
บทที่ 25 ตอบแทนบุญคุณ 5


บทที่ 25 ตอบแทนบุญคุณ 5 

 

  ตกกลางดึกสงัดในบ้านหลังเล็กๆสองชั้นในเขตชานเมืองพัซเซิล แสงสว่างเพียงแห่งเดียวในบริเวณนั้นคือแสงจากคบเพลิงที่ชั้นแรกของบ้านหลังเล็กๆที่ลอดผ่านหน้าต่างออกมา ‘เทย์เลอร์’บุตรชายคนโตของมาร์ควิสสแตนคือเจ้าของบ้านหลังนี้ และในตอนนี้เขากำลังเริ่มขมวดคิ้วมุ่น

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ให้ตายสิ! รอก่อนเถอะ! อย่าเพิ่งพูดอะไรในตอนนี้”

 

‘เคจ’ นักบวชหญิงของพระเจ้าแห่งความตายกำลังก้มศีรษะลงด้วยความเจ็บปวด

 

เคร้ง!

 

แก้วเบียร์ในมือของเธอตกลงไปที่พื้น ก่อนที่เทย์เลอร์และคนอีกสามคนจะขยับเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว

 

“มีอะไร?.....พระเจ้าได้แจ้งอะไรกับเจ้าอีกงั้นหรือ?”

 

เทย์เลอร์มองไปที่เธอด้วยความห่วงใย พระเจ้าแห่งความตายมักจะติดต่อพูดคุยกับเคจเป็นครั้งคราว จู่ๆมันก็เกิดขึ้นในวันหนึ่งและมันก็ปรากฏอาการเช่นนี้เป็นระยะๆ เคจได้ปิดบังเรื่องนี้กับนักบวชคนอื่นๆมีเพียงเทย์เลอร์และข้ารับใช้ของเขาอีกสามคนที่รู้เรื่องนี้

 

“อ่า.....น่าหงุดหงิดชะมัด”

 

หลังจากที่ทนอาการปวดศีรษะได้สักพัก เคจก็ลุกขึ้นไปยังบานประตูหลังบ้านทันที เธอยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะยังปวดศีรษะและมึนงงเล็กน้อยแต่สายตาของเธอยังคงมุ่งมั่นเพื่อไปยังประตูหลังบ้านให้ได้

 

เทย์เลอร์บอกให้ข้ารับใช้รออยู่ในบ้านก่อนจะใช้มือส่งแรงผลักไปที่รถเข็นที่ตนนั่งอยู่มุ่งหน้าตามหลังเคจไปทันที

 

‘หรือมีคนแอบเข้ามา?’

 

พวกเขาอาจจะแอบอยู่ในบ้านเล็กๆแต่มีสัญญาณเตือนภัยที่ทำจากพลังเวทย์อยู่ทุกแห่ง เทย์เลอร์หวาดระแวงน้องชายของตน เขาจะไม่สามารถข่มตาให้หลับได้หากไม่มีสัญญาณเตือนเหล่านี้

 

หลังจากที่ขาทั้งสองข้างของเขาถูกทำลายจากมือสังหารในห้องนอนของตนเองในคฤหาสน์สแตนก็ไม่มีที่ไหนที่เทย์เลอร์ถือว่าปลอดภัยอีกต่อไป

 

“เคจ....เกิดอะไรขึ้น?”

 

“รอก่อน......”

 

ปั๊ง!

 

เคจปิดประตูหลังบ้านอย่างแรง เทย์เลอร์สามารถมองเห็นเพียงสวนหลังบ้านที่เงียบสงบเท่านั้น มันยังคงเงียบสงบและเงียบสงบเหมือนเช่นเคย มีคบเพลิงสองดวงที่ทำให้สวนเป็นพื้นที่ที่มีความสว่างมากที่สุดในบริเวณบ้านหลังนี้

 

เคจเริ่มออกวิ่งไปในสวนหลังบ้านและเทย์เลอร์ก็ยังเข็นรถเข็นตามเธอไปอย่างไม่ละสายตา เธอวิ่งตรงไปยังรั้วของบ้านหลังนี้และเริ่มหอบเหนื่อย

 

“แฮ่ก......แฮ่ก”

 

บริเวณนี้เป็นตำแหน่งที่อยู่นอกเหนือจากสัญญาณเตือนภัยพลังเวทย์ ด้านบนของรั้วมีหอคอยศิลาขนาดเล็กที่ทำจากหินขนาดเล็กห้าก้อน มันใหญ่พอสำหรับสายตาทหารองครักษ์ที่สามารถมองเห็นมันได้หากเขาออกตรวจดูความเรียบร้อยในเวลาอันใกล้นี้

 

“มันบ้ามาก.....แต่นี่มันคือเรื่องจริง”

 

คำหยาบบางคำออกมาจากปากของเคจ เทย์เลอร์มาถึงบริเวณนี้หลังเคจไม่นานด้วยรถเข็นของเขาและเริ่มจ้องมองไปยังหอคอยศิลาที่อยู่บนรั้วด้วยความสับสน

 

“นี่มันอะไรกัน?”

 

คำถามจากเทย์เลอร์ทำให้เคจอ่านข้อความที่ถูกเขียนด้วยชอล์คทันที

 

“มันถูกเขียนไว้ว่า ‘ทำลายมันซะ แล้วเจ้าจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา’”

 

ความสับสนวุ่นวายและความอยากรู้อยากเห็นปรากฏเต็มหน้าของเทย์เลอร์ไปพร้อมๆกัน เคจถอนหายใจยาวหลังจากมองไปที่เขาและกุมขมับของตนด้วยนิ้วของเธอ

 

“ข้าสนับสนุนให้เจ้าทำลายมันซะ...ไม่...มันอาจจะดูเหมือนบ้าแต่พระเจ้าบอกให้ทำลายมันซะ”

 

“......อะไรนะ?”

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่พระเจ้าไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระทำไมวันนี้เขาถึงพูดกับข้ามากมาย?ทั้งๆที่เขาจะพูดกับข้าแค่ปีละครั้งเท่านั้น”

 

“แล้วหอคอยศิลาแห่งนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้กัน?”

 

เคจหันไปสบตากับเทย์เลอร์

 

“มันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตเรานั่นคือสิ่งที่เขาพูด”

 

พระเจ้าแห่งความตายจะติดต่อกับเคจเฉพาะในตอนที่หลับเพราะการหลับใกล้เคียงกับความตายนั่นเป็นเหตุผลว่าการนอนหลับเป็นวิถีของพระเจ้าแห่งความตายเท่านั้น แต่คราวนี้เธอได้ยินพระเจ้าของเธอในตอนที่กำลังดื่มเบียร์

 

ในครั้งแรกเคจคิดว่าเป็นเพราะพระเจ้าแห่งความตายโกรธเธอที่ดื่มเบียร์มากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่ได้ต้อนรับการกลับมาของพระเจ้าแห่งความตาย เธอต้องการให้พระเจ้าองค์นี้เลิกสนใจในตัวเธอแต่ในครั้งนี้พระเจ้าแห่งความตายได้มอบข้อความที่แตกต่างจากครั้งก่อน

 

“ ‘การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแต่ถ้าหากเจ้าทำลายมันชีวิตเจ้าจะไม่สงบสุขอีกต่อไป’ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกกับข้า”

 

เธอมองไปที่หอคอยศิลามันมีบางอย่างอยู่ด้านล่างของมัน

 

“มีจดหมายอยู่ใต้หอคอยศิลานั่น ข้าคิดว่าพวกเขาอาจจะสร้างหอคอยศิลานี้เพื่อซ่อนจดหมายนั่น”

 

เคจหันกลับไปมอง ‘เทย์เลอร์’เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองเธอจากเก้าอี้รถเข็นแม้ว่าเขาจะมองเห็นหอคอยศิลาได้แต่ไม่สามารถมองเห็นจดหมายที่อยู่ด้านล่างได้

 

“ข้าไม่รู้สึกถึงพลังที่ผิดปกติรอบๆหอคอยศิลานั่น”

 

แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความรู้สึกไวเหมือนนักเวทย์ก็ตาม แต่การใช้อำนาจของพระเจ้าแห่งความตายเข้ามาช่วยทำให้เธอเป็นคนที่มีความรู้สึกที่ไวขึ้นและประเมินสภาพแวดล้อมโดยรอได้เป็นอย่างดี เธอจะสามารถรู้สึกได้ว่ามีการสาปแช่งหรือพลังในด้านลบที่ล้อมรอบสิ่งของหรือบริเวณต่างๆได้ นั่นคือข้อดีของการรับใช้พระเจ้าแห่งความตาย

 

เธอกำลังรอคอยคำตอบจากปากเทย์เลอร์

 

เทย์เลอร์เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนก่อนที่จะหันมามองเคจช้าๆ

 

“ทำลายมันซะ!”

 

เคจต่อยลงไปที่หอคอยศิลาที่อยู่ตรงหน้าของเธอทันที

 

พลั่ก! โครม!โครม!

 

หอคอยศิลาที่อยู่ด้านบนของรั้วโค่นลงมากระทบพื้นจนหมดและเทย์เลอร์ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้ถนัดนัก

 

‘อย่าทำลายมันถ้าข้าอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขเช่นนั้นหรือ?’

 

เทย์เลอร์ไม่เคยมีชีวิตอย่างสงบสุขและเขาไม่มีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขด้วย เขากำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ขาของเขากลับมาเป็นปกติและเดินไปข้างหน้าต่อไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขา.....

 

‘ข้าจะทำลายตระกูลของข้า ตระกูลที่น่ารังเกียจขยะแขยงเช่นนี้ให้ได้’

 

เทย์เลอร์ยื่นมือไปรับจดหมายที่เคจยื่นให้ตนทันที เมื่อเปิดซองจดหมายออกจึงได้พบว่าจดหมายนี้ถูกเขียนด้วยพลังเวทย์เพื่อป้องกันไม่ให้ใครทราบถึงเจ้าของลายมือฉบับนี้ได้ซึ่งพวกขุนนางส่วนใหญ่จะใช้วิธีนี้ในการส่งข่าวเช่นกัน

 

เทย์เลอร์เปิดจดหมายออกอ่านโดยไม่มีความลังเล สองบรรทัดแรกของตัวอักษรแม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านแสงคบเพลิงในสวนหลังบ้านได้อย่างชัดเจนแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ

 

[ องค์ชายรัชทายาทเป็นผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ มันมีชื่อเรียกว่า ‘ดาราแห่งการเยียวยา’และมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเพราะมันเป็นพลังที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียวที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บประเภทใดก็ได้ให้หายขาด]

 

[เขากำลังที่จะทำการขายมันโดยมอบหมายให้องค์ชายรองและองค์ชายสามเป็นคนตรวจสอบ]

 

มือที่จับจดหมายของเทย์เลอร์เริ่มสั่นขึ้นอย่างช้าๆ

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

เคจตัวแข็งขึ้นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าและมือที่สั่นของเทย์เลอร์ก่อนที่จะเริ่มผ่อนคลายลงในเวลาต่อมา

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” นั่นเป็นเพราะเทย์เลอร์กำลังหัวเราะและยื่นจดหมายฉบับนั้นให้กับตน

 

“แน่นอน...ว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเรา”

 

“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

 

เคจหยิบจดหมายในมือของเทย์เลอร์และเริ่มอ่านมัน เธอชะงักไปชั่วครู่หลังจากอ่านเรื่องเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณขององค์ชายรัชทายาทแต่เธอก็ยังคงอ่านส่วนที่เหลือเพิ่มก่อนที่จะเงยหน้าตนขึ้นเมื่ออ่านส่วนสุดท้ายของจดหมายแล้ว

 

[ ขาของท่านไม่สามารถขยับได้แต่ศีรษะ แขน ตาและปากสามารถขยับได้ส่วนที่เหลือของท่านยังคงมีชีวิตอยู่]

 

[ การตัดสินใจมันเป็นของตัวท่านเอง... นายน้อยเทย์เลอร์บุตรชายคนโตของมาร์ควิสสแตน]

 

เทย์เลอร์มองไปที่มุมที่มืดที่สุดในสวนหลังบ้านและเอ่ยขึ้น

 

“เคจ....”

 

“หืม?”

 

“ปล่อยที่นี่ให้พ่อบ้านจัดการแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงให้ไว้ที่สุด”

 

“ตกลง”

 

เธอตัดสินใจที่จะทำตามความต้องการของเทย์เลอร์ผู้ที่ยังคงอยากมีชีวิตอยู่ เธอเป็นคนที่เคยประสบกับความตายมาหลายครั้งกว่าคนอื่นเพราะเธอเป็นนักบวชของพระเจ้าแห่งความตายซึ่งนั่นทำให้เธอเห็นคุณค่าของชีวิตได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

 

“ข้ามั่นใจในตัวอัจฉริยะเช่นเจ้าว่าจะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะเจ้ามีความสามารถทุกด้าน”

 

เคจเชื่อมั่นในความคิดและความสามารถของเทย์เลอร์

 

“เจ้าพูดถูก...ข้าอาจเคยมีความสามารถ”

 

‘เคยมี’ เคจมองไปที่เทย์เลอร์หลังจากที่ได้ยินเขาพูดถึงความสามารถที่ผ่านมาของตน

 

“ข้าควรจะรู้วิธีการดูแลตัวเอง”

 

น่าเสียดายที่เทย์เลอร์ได้รับบาดเจ็บที่ขาเพราะเขาไม่รู้วิธีการดูแลป้องกันตัวเองเขาปล่อยให้เป็นหน้าที่องครักษ์ดูแลเขามาโดยตลอด

 

 

 

  เทย์เลอร์เงยหน้าขึ้นไปมองบ้านสองชั้นหลังเล็กๆนี้ เขารู้สึกหงุดหงิดที่มาพักที่นี่ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นจริงหรือไม่? แทนที่จะอยู่เฉยๆกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์นี้อาจจะเป็นการดีกว่าที่เขาจะลองไปเผชิญกับมันดู

 

อย่างน้อยพระเจ้าแห่งความตายไม่ได้โกหก เทย์เลอร์ต้องการความเปลี่ยนแปลงก่อนจะเริ่มพูดออกมา

 

“หากมันเกี่ยวกับองค์ชายรัชทายาท เราก็ต้องเลือกช่วงเวลาที่มีการจัดงานพระราชพิธี...เราต้องรีบแล้วล่ะ”

 

“อืม...มารีบกันเถอะ”

 

“มันจะดีหรือเปล่า? เราจะเข้าไปร่วมงานกับกลุ่มคนที่มาจากวิหารเป็นจำนวนมากหากเราต้องไปยังเมืองหลวง”

 

“แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้? ไล่ข้าออกมาเช่นนั้นหรือ? ตอนนี้ข้าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า”

 

“ขอบคุณเจ้ามาก”

 

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอกนะ”

 

พวกเขายิ้มไปหัวเราะไปพูดคุยกันไปในเวลาเดียวกัน ก่อนที่เคจจะยกจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง

 

“ผู้มีพระคุณ....”

 

พวกเขาไม่แน่ใจว่าบุคคลนี้เป็นผู้มีพระคุณหรือไม่แต่ทั้งคู่รู้สึกว่าผู้เขียนจดหมายฉบับนี้คือผู้มีพระคุณของพวกเขาและมีความตั้งใจที่จะตามหาผู้มีพระคุณให้เจอพร้อมกับตอบแทนบุญคุณคืนให้ได้

 

สายตาสองคู่ที่กระจ่างใสและปราศจากอาการเมาจากการดื่มเบียร์ได้ก้มลงมองจดหมายฉบับนั้นอีกครั้งอย่างเงียบๆ มันเป็นสายตาของคนที่ได้พบจุดเปลี่ยนในชีวิตของพวกเขาแล้ว

 

ลูกแมวขนสีแดงที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์นี้จากหลังคาบ้านหลังอื่นเอ่ยกระซิบกับพี่สาวของตน

 

“พี่สาว..เรากลับกันได้แล้วเช่นนั้นหรือ?”

 

“ใช่แล้ว....งานของเราเสร็จแล้ว ไปกินเนื้อกันเถอะ”

 

“เย้!”

 

ลูกแมวสองตัวกระโดดลงจากหลังคาบ้านหลังหนึ่งไปยังหลังคาอีกหลังหนึ่ง มันทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนถึงโรงแรมที่พักของพวกมัน

 

เช้าวันต่อมา

 

คาร์ลยืนกอดอกและขมวดคิ้วมุ่น สายตาของเขากวาดขึ้นกวาดลงไปยังคนที่อยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้

 

ชุดของคาร์ลในวันนี้เต็มไปด้วยสีสันสดใสและความหรูหรากว่าทุกวัน

 

‘นายน้อย! แม้ว่ากระผมจะไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย นายน้อยจะไปกลิ้งบนภูเขาได้อย่างไร?’นี่คือสิ่งที่ฮันส์เอ่ยกับเขา

 

‘กระผมควรจะเป็นคนพานายน้อยไป!’นี่คือเสียงของรองหัวหน้าองครักษ์

 

‘โธ่...นายน้อยกระผมเสียใจเป็นยิ่งนัก’และนี่คือคำพูดของตาแก่รอน

 

คาร์ลต้องแต่งตัวจัดเต็มเช่นนี้เพราะรำคาญสายตาที่จ้องมองเขาหลังจากกลับมายังโรงแรมด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมมและเสื้อผ้าสกปรกยับยู่ยี่หลังจากที่คลานออกมาจากถ้ำ ชุดแฟนซีที่เขาใส่มันเข้ากันดีกับผมสีแดงอ่อนของเขาทำให้เขาไม่ได้รู้สึกแย่กับสภาพตัวเองในตอนนี้นัก แต่ยังมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่คาร์ลกำลังจ้องมองด้วยความหงุดหงิดในตอนนี้

 

“เจ้าจะออกไปแบบนั้นหรือ?”

 

ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่หน้าโรงแรม คาร์ลยืนกอดอกและมองไปที่เชวฮันเขามีเพียงกระเป๋าใบเล็กและดาบประจำตัวของเขา

 

“ใช่.....”

 

ไม่มีงานเลี้ยงฉลองอำลาใดๆสำหรับเชวฮัน ทั้งคาร์ลและเชวฮันไม่ต้องการให้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการอำลาครั้งนี้จึงมีขนาดเล็กเช่นนี้

 

มีเพียงแค่คาร์ล ลูกแมวสองพี่น้อง ฮันส์ รอน บารอคและรองหัวหน้าองครักษ์เท่านั้น ความจริงที่ว่ารองหัวหน้าองครักษ์ไม่ค่อยถูกกับเชวฮันเท่าไหร่แต่เขาก็มายืนกล่าวลาด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่นเช่นเดียวกับคาร์ลได้

 

“เฮ้อ......”

 

  คาร์ลถอนหายใจยาวก่อนหยิบกระเป๋าใบเล็กๆออกจากกระเป๋าของตนและโยนมันไปให้เชวฮันที่สามารถคว้ากระเป๋าได้อย่างง่ายดาย เชวฮันจำได้ว่ามันมีลักษณะเหมือนกับกระเป๋าใบเล็กๆที่คาร์ลได้ให้มังกรไป เขารีบเปิดกระเป๋าค้นดูยาและอุปกรณ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ก่อนจะเงยหน้าจากกระเป๋าเพื่อมองไปที่คาร์ล ก่อนที่คาร์ลจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงโผงผางและร้อนรนเมื่อพวกเขาได้สบตากัน

 

“อะไร? เจ้าต้องการอะไร? ถ้าไม่อยากได้มันก็แค่โยนมันทิ้งไปก็เท่านั้น”

 

เชวฮันไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่คาร์ลก็ยังคงต้องพูดในสิ่งที่เขาต้องทำอยู่ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตน

 

“....ลาก่อน....”

 

คาร์ลพยายามไม่แสดงอาการอะไรออกมาเมื่อเขาหันหลังกลับทันทีหลังจากที่กล่าวลาเชวฮันแล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องได้เจอกับเชวฮันอีก...ไม่สิ...ยังเหลืออีกครั้ง.....พวกเขาจะต้องได้พบกันอีกครั้งที่เมืองหลวงก่อนที่เขาจะส่งเชวฮัน รอนและบารอคออกเดินทางไปด้วยกันพร้อมกับคำสั่งอีกไม่กี่คำ และหลังจากนั้นเขาก็วางแผนที่จะไม่ติดต่อกับเชวฮันอีกเลย

 

“กระผมจะกลับมาเร็วๆนี้”

 

การตอบรับของเชวฮันที่ดูเหมือนคนมีความสุขเช่นนั้นทำให้คาร์ลรู้สึกขนลุกขึ้นมาแม้แต่คำเรียกแทนตัวเองของเชวฮันก็เปลี่ยนเป็นสุภาพมากกว่าเดิมแต่เขาก็ไม่คิดที่จะหันกลับไปมองเชวฮันอีกครั้ง เชวฮันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่คาร์ลไม่หันกลับมาหาตนทำให้เขามุ่งความสนใจไปที่คนอื่นแทน

 

“แล้วเจอกันอีกครั้งที่เมืองหลวงนะท่านเชวฮัน”

 

“ฮึ๊!.....ข้าจะฝึกฝนตัวเองเพิ่มขึ้นเพื่อจะได้คุ้มครองนายน้อยด้วยกันเมื่อเจอกับเจ้าอีกครั้งในเมืองหลวง”

 

รองพ่อบ้านฮันส์กล่าวคำอำลาอย่างกระตือรือร้นขณะที่รองหัวหน้าองครักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย

 

“ข้าจะรักษาดาบของข้าให้คมยิ่งขึ้น”

 

“อืม....แล้วเจอกันภายหลัง”

 

บารอคและรอนก็บอกลาด้วยเช่นกัน ลูกแมวสองตัวแตะไปที่เท้าของเขาเบาๆเพื่อบอกลา

 

และสุดท้ายมังกรดำที่ยังคงใช้เวทย์ล่องหนโดยในตอนกลางวันจะอยู่บริเวณสวนนอกโรงแรมพอตกกลางคืนมันก็นอนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักของคาร์ล ในตอนนี้มันกำลังมอบเวทย์ล่องหนไปให้เชวฮันได้ใช้บ้าง

 

“ข้าได้รับมามากพอแล้วแต่ดูเหมือนว่ามันจะคงอยู่จนถึงตอนสุดท้าย”

 

เชวฮันใส่กระเป๋าเวทย์ขนาดเล็กที่คาร์ลให้ลงในกระเป๋าของตนก่อนจะเริ่มยิ้มออกมา คาร์ลไม่สามารถมองเห็นรอยยิ้มนี้ได้เพราะเขาหันหลังกลับไปก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเชวฮัน

 

“ข้าจะได้เห็นพวกท่านทั้งหมดที่เมืองหลวง”

 

เชวฮันเอ่ยลาก่อนมุ่งหน้าออกไปจากโรงแรม คนเช่นเขาที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมาตลอดสิบปีซึ่งมันเป็นสิ่งที่แย่กว่าความตายเสียอีก แต่ตอนนี้เขามีที่ให้กลับมาพักพิงได้และยังมีกลุ่มคนที่เขาต้องตอบแทนความดีที่พวกเขามอบให้แก่ตนเช่นกัน

 

‘ข้าต้องแน่ใจว่างานนี้จะสำเร็จด้วยดี’

 

เชวฮันค่อยๆห่างจากคาร์ลและคนอื่นๆและมุ่งหน้าออกจากเมืองพัซเซิลทันที

 

เช้าวันรุ่งขึ้น

 

คณะของคาร์ลจัดข้าวของใส่รถม้าเพื่อเตรียมออกเดินทางจากเมืองพัซเซิลเช่นกัน

 

“นายน้อย...เราพร้อมออกเดินทางแล้วขอรับ”

 

“อืม......”

 

คาร์ลพยักหน้าตอบรับกับคำบอกของรอนและรีบปิดหน้าต่างรถม้าเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป พวกเขาทั้งหมดกลับมาเริ่มต้นการเดินทางกันอีกครั้ง

 

“พวกเจ้ามองอะไรกันอยู่?”

 

คาร์ลกำลังจ้องมองลูกแมวสองพี่น้องซึ่งมีท่าทางกระสับกระส่ายขณะพยายามที่จะหลบสายตาเขาก่อนที่จะเห็นพวกมันสะดุ้งและหันกลับมามองเขาอย่างตกใจ คาร์ลเริ่มยิ้มออกมาช้าๆพลางเอ่ย

 

“อะไร? พวกเจ้าพบมังกรหรืออะไร?”

 

“เอื้อก!”

 

คาร์ลไม่ได้สนใจกับอาการตกใจจนตาค้างของลูกแมวทั้งสอง ตอนนี้เชวฮันได้จากไปแล้วแต่มังกรกลับมาติดตามพวกเขาแทน ถึงมันจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้มีเวลาสนใจกับเรื่องพวกนี้

 

หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวันพวกเขาก็พร้อมที่จะสร้างที่พักค้างแรมกันข้างนอกอีกครั้ง

 

“เอ่อ.....ขอโทษนะขอรับหากไม่เป็นการรบกวนพวกเราสามารถใช้พื้นที่เดียวกับพวกท่านสร้างที่พักได้หรือไม่?”

 

มีรถม้าเดินทางมาหยุดบริเวณที่พักค้างแรมของคาร์ลและคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนขับรถม้าก็ตรงเข้ามาสอบถามรองหัวหน้าองครักษ์ทันที

 

“ท่านเป็นใคร?”

 

รองหัวหน้าองครักษ์ถามออกไปแม้ว่าจะรู้คำตอบหลังจากได้เห็นตราประจำตระกูลเป็นงูสีแดงบนชุดเกราะของคนขับรถม้าคนนี้แล้วก็ตาม เขาได้โค้งคำนับแก่รองหัวหน้าองครักษ์และคาร์ลที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะเอ่ยยแนะนำตัวขึ้น

 

“ข้าน้อยชื่อ ‘ทอม’ มาจากคฤหาสน์มาร์คควิสสแตนขอรับ”

 

‘ฮึ๊!’

 

คาร์ลเกือบสบถออกมาด้วยเสียงอันดัง ขณะที่มองไปยังรถม้าคันเก่าๆที่ไม่มีตราประจำตระกูลก่อนที่หน้าต่างรถม้าจะถูกเปิดออกและนั่นทำให้คาร์ลมองเห็นใบหน้าของ‘เทย์เลอร์ สแตน’ได้

 

“ข้าชื่อเทย์เลอร์ สแตน ข้ามองเห็นตราประจำตระกูลของท่านเคาน์เฮนิตัสจึงมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้ว่ามันจะดูไม่เหมาะสมนักก็ตาม”

 

หากเป็นที่พักค้างแรมของเคานต์เฮนิตัสที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เทย์เลอร์คิดว่าเขาจะปลอดภัยสำหรับคืนนี้

 

แต่มันไม่ดีสำหรับคาร์ล ตอนนี้เขาได้พบกับ ‘เทย์เลอร์’บุตรชายคนโตของมาร์ควิสสแตนและ ‘เคจ’นักบวชหญิงผู้บ้าคลั่งและในตอนนี้เขากำลังนึกถึงมังกรดำที่ออกไปล่าหมูป่าหรืออาจจะเป็นกวางมาให้เขาอยู่ก่อนจะเริ่มขมวดคิ้วมุ่น

 

‘ให้ตายสิ!’

 

หนึ่งเพิ่งจากไปและอีกสามเริ่มปรากฏ คาร์ลอยากจะบ้าตายให้ได้

รีวิวผู้อ่าน