บทที่ 12
อะไรนะ?เจ้าไม่ได้เข้าไปในคลังงั้นหรอ?
เมืองตงซาน หอหวังเจียง
เดิมทีหลังจากตกกลางคืนสถานที่แห่งนี้ควรจะสว่างไสวเป็นช่วงเวลาที่ธุรกิจเฟื่องฟู แต่ในเวลานี้มีควันหนาทึบไปทั่วเมืองมีแม้แต่เสียงตะโกนฆ่าฟัน ไม่มีใครสนใจที่จะนั่งดื่มชาหรือต้มเหล้าหรือพูดถึงเรื่องอื่นๆ
ภายในห้องส่วนตัวยอดหอคอยหวังเจียง ชายหนุ่มและหญิงสาวสองคนสวมเสื้อผ้าหรูหรานั่งอยู่ตรงกันข้ามกัน ด้านหลังชายหนุ่มมีผู้คุ้มกัน 4 คนสวมชุดเกราะยืนอยู่
สาวใช้คนสวยที่อยู่ข้างๆนางก้มหน้าลงและยืนตรงอยู่ตรงนั้น
เมื่อมองไปยังสถานการณ์ในเมือง ใบหน้าหล่อๆของชายหนุ่มดูไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน ได้ยินเพียงเขาเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง
“ หลี่มู่ฟาน ช่างมีหัวคิดยิ่งนักแค่พริบตาเดียวก็สามารถสร้างความวุ่นวายในเมืองได้ดูเหมือนว่าตัวข้านั้นจะดูถูกเขาเกินไป!”
หญิงสาวที่นั่งอยู่มีใบหน้างดงาม นางหัวเราะเบา “ฝ่าบาท ทรงกล่าวว่าหลายวันมานี้เขาซ่อนตัวอยู่ในเมือง และคนคนนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถมากขึ้นอีกหลายส่วน”
สีหน้าของชายหนุ่มยิ่งดูน่าเกลียดจริงๆ นางยิ้มพลางส่ายหัวกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องคิดมาก ในเมืองมีทหารชั้นยอด 10,000 คน ฝ่าบาทเพียงส่งคนไปเฝ้าประตูเมืองให้หนาแน่นขึ้น ตามวิธีที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเขาจะมี 3 หัวหรือแขนก็ไม่สามารถหลบหนีได้”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินสีหน้าของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยหันไปพูดกับ 2 คนที่อยู่ข้างหลังว่า “พวกเจ้านำป้ายของข้าไปที่ประตูเมืองและบอกนายทหารรักษาเมืองว่าหากเจอผู้หลบหนีให้พามาหาข้าทันที!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังรับปากและหายลับไปในห้องส่วนตัว เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้นดวงตาของนางก็ส่องประกายยากที่จะสังเกตเห็น นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแม่น้ำ หยุนชางที่ไหลผ่านช่องแคบ
“ฝ่าบาท เมื่อเสด็จข้ามช่องแคบไปก็จะเป็นดินแดนของเผ่าเอลฟ์ ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีสินค้ามากมายและอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความงามของเผ่าเอลฟ์ที่ถือกำเนิดขึ้นมา ท่านจะพาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มส่ายหัวและกล่าวว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างยาก เผ่าเอลฟ์เป็นพวกสูงส่งและถือว่าเผ่าของเราเป็นทาส แม้ว่าตัวข้าเองได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่การไปมานั้นยังคงมีความลำบากมากมาย หากเจ้าอยากไปรอถึงช่วงการส่งเครื่องบรรณาการให้กับเผ่าเอลฟ์พวกเราค่อยไปด้วยกัน”
หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็มองเขาอย่างเฉยเมยยิ้มบางๆและส่ายหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ดีวันหน้าค่อยว่ากันใหม่ พวกเรามาดูกันเถอะว่าคนผู้นั้นจะก่อความวุ่นวายได้มากแค่ไหน”
ชายคนนั้นหันไปมองที่เมืองตงซานที่มีควันหนาทึบและกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ชายผู้นั้นทำให้เมืองใหญ่ของอาณาจักรปั่นป่วนและทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรกับเผ่าพันธุ์ต่างแดน หากข้าจับตัวได้ จะต้องกุดหัวของเขาเท่านั้น!”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงตะโกนอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้นนอกห้อง
“ฝ่าบาท!พระชายา!แย่แล้วที่นี่ไฟไหม้..”
อีกด้านหนึ่ง หลี่มู่ฟานที่สวมชุดเกราะและถือดาบยาวกำลังขี่ม้าอยู่ ด้านหลังของเขานำทหารจากค่ายองครักษ์เดินอย่างสบายๆบนถนนที่วุ่นวายของเมืองตงซาน ซึ่งตรงกันข้ามกับฉากฝูงไก่บินและสุนัขกระโดดไปมา
“รายงานขอรับ”
ทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ทูลฝ่าบาท!ตามคำสั่งของท่าน หัวหน้าจางเถี่ยพาเหล่าพี่น้องไปจุดไฟเผาสถานที่สำคัญในเมือง เช่น ยุ้งฉางคฤหาสน์เจ้าเมือง ฟาร์มม้าและหอหวังเจียง หัวหน้าจางยังขอให้ข้ากลับมาถามท่านว่าจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลี่มู่ฟาน ไม่ตอบและถามกลับไปว่า “ พวกเจ้าเผาคลังแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง?”
ทหารอี้งไปเล็กน้อย “รายงานฝ่าบาท พวกเราไม่ได้เข้าไปในคลังเงิน หัวหน้าจางเห็นว่าไฟในคลังลุกโชนมากจึงพาพวกเราไปจุดไฟที่อื่น”
“อะไรนะ!พวกเจ้าไม่ได้เข้าไปในคลังเงินอย่างนั้นหรอ?”
บทที่ 13
จงฉลาดไปเถิด
เมื่อ หลี่มู่ฟาน ได้ยินสิ่งนี้เขาตะโกนด้วยความโกรธ “จางเถี่ยเจ้าซื่อบื้อ ถ้าเขาไม่แย่งมันมาในตอนนี้แล้วจะมาเมื่อไหร่กัน?คลังเงินของเมืองตงซานมีเหรียญทองหลายแสนเหรียญแต่เขากลับมามือเปล่าได้อย่างไร?”
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็ตะโกนว่า “ อาเฉียง! เจ้าไปหากระสอบมาสัก 2-3 มัด พาพี่น้องครึ่งหนึ่งไปปล้นคลังเงินให้ค่า ได้เท่าไหร่ก็เอา ใครขัดขวางฆ่าให้หมด!”
“รับทราบ!”
อาเฉียง ตะโกนและโบกมือให้ทหารองครักษ์อีกครึ่งหนึ่งวิ่งตามเขาไปที่คลังเงิน
เมื่อเห็นว่าพวกเขาจากไป หลี่มู่ฟาน ก็ด่าทหารที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “ เจ้าลุกขึ้นแล้วไปบอกหลิวหลงกับจางเถี่ยทันที ให้พวกเขาหาจุดเสี่ยงแล้วรีบออกไปภายในครึ่งชั่วโมง!”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทหารที่สวมชุดเกราะหนังสุริยันจันทรารีบมาถึงประตูเมือง แต่ประตูเมืองปิดสนิทกำแพงเมืองเต็มไปด้วยทหาร
แม่ทัพหนุ่มที่นำหน้าตะโกนใส่ประตูเมืองว่า “ข้าเป็นคนของแม่ทัพมู่หรง คนต่างเผ่าในเมืองกำลังก่อกบฏ แม่ทัพมู่หรงสั่งให้ข้าออกไปตรวจสอบข่าวรีบเปิดประตูเมืองเร็วเข้า!”
คนที่เฝ้าประตูเมืองคือแม่ทัพวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะและรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “แม่ทัพ มู่หรงเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของคนรุ่นใหม่ในอาณาจักร มิใช่ว่าปกป้องฝ่าบาทอยู่ในเมืองหลวงหรอกหรอ?ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่?”
แม่ทัพหนุ่มตอบว่า “ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้แม่ทัพของข้าออกจากเมืองเพื่อตามล่าผู้หลบหนี ตลอดทางมานี้เห็นความวุ่นวายในเมืองจึงส่งข้าออกจากเมืองไปส่งข่าวก่อน รีบเปิดประตูเมืองหากผิดพลาดกองทัพของเจ้าคงรับโทษทัณฑ์ไม่ไหว!”
แม่ทัพพิทักษ์เมืองขมวดคิ้วและกล่าวอย่างลังเล “มีใบรับรองหรือไม่?”
ชายหนุ่มหยิบเหรียญตราที่สลักหัวหมาป่าออกมาจากอกเสื้อและโยนไปที่กำแพงพังตะโกนว่า “เหรียญตรานี่ยืนยันได้ รีบเปิดประตูเมืองเร็วเข้า!”
แม่ทัพผู้พิทักษ์ประตูเมืองได้รับเหรียญตราและสำรวจดูอย่างรวดเร็วเห็นหัวหมาป่าดุร้ายและสลักคำด้านล่างว่ามู่หรง เขาจึงพยักหน้าแล้วตะโกนว่า “เป็นเหรียญของแม่ทัพมู่หรงจริงๆ ทุกคนรอสักครู่ข้าจะไปเปิดประตูเมือง!”
พูดจบก็โบกมือให้องครักษ์คนหนึ่งรีบก้าวลงจากกำแพงเมือง หลังจากนั้นไม่นานประตูเมืองก็เปิดออกอย่างช้าๆ และทหารรักษาเมืองก็ตะโกนขึ้นว่า “ทุกคนประตูเมืองเปิดแล้วรีบออกไปเร็วเข้า!”
เมื่อแม่ทัพหนุ่มเห็นดังนั้นก็โบกมือกับทหารสวมเกราะและโบกมือให้ทหาร 200 คนวิ่งไปที่ประตูเมือง
แต่ในตอนนั้นเองความตื่นตระหนกก็เปลี่ยนไป
แม่ทัพผู้พิทักษ์ประตูเมืองก็ตะโกนเสียงดังว่า “พลธนูเตรียม ยิงธนู!”
ทันใดนั้นมีนักธนูยืนเรียงรายอยู่บนกำแพงและลูกธนูก็พุ่งออกมาราวกับสายฝน แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือทหารที่อยู่ด้านล่างมีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว พวกเขาขยับตัวไปทีละคนและพุ่งถอยราวกับนกที่ตกใจธนู หลังจากธนูตกลงมาบนพื้นแล้วกลับไม่เหลือแม้เงา
“เกิดอะไรขึ้น ข้าคิดว่าข้าคาดการณ์ไม่ผิดแต่ทำไมเป็นเช่นนี้!”
ทันใดนั้นทหารที่อยู่ใต้กำแพงก็หยิบคันธนูขึ้นมาและยิงสวนกลับขึ้นมายังบนกำแพง
นี่คือธนูสามัญขั้นกลาง มันจะเทียบได้กับคันธนูธรรมดาได้อย่างไรมันทรงพลังพอที่จะเจาะเกราะได้
เสียงธนูดังกังวานและลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่กำแพงเมืองจนเกิดเสียงกรีดร้องออกมา
ภายในการยิงเพียงครั้งเดียวทหาร 50 นายถูกยิงร่วง