px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 41 โรคเดินละเมอ


ตอนที่ 41 โรคเดินละเมอ

 

หมอเทวดาฮัวตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง

 

จากที่สังเกตรูปลักษณ์ของสวีเสี่ยวเสียนในตอนนี้ ใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียนมีสีแดงระเรื่อ แม้จะเป็นเพราะแสงสุริยาก็ตามที ทว่าใบหน้าซีดเผือดที่ตนเคยเห็นได้หายไปแล้ว

 

เดิมทีเขานอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ทว่าจากที่เห็นการเตะของเขาเมื่อครู่ อ่า...การเตะนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ทั้งยังแข็งแกร่งมิน้อย มิเช่นนั้นเขาจะถีบคนกับสุนัขที่อยู่ในสระนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?

 

เหตุใดเขาต้องเตะหลายฝูผู้นั้นลงไปในสระด้วยกัน...หมอเทวดาฮัวรู้สึกว่าจำต้องทำการค้นคว้าให้ดี อย่างเช่น...การผ่าศีรษะของสวีเสี่ยวเสียนเพื่อตรวจดูภายในให้ถี่ถ้วน

 

สายตาของหมอเทวดาฮัวจับจ้องไปยังศีรษะของสวีเสี่ยวเสียน เขามองด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก จนถึงขั้นเลียริมฝีปาก เมื่อสวีเสี่ยวเสียนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาทันใด ชายชราผู้นี้ เหตุใดถึงให้ความรู้สึกเหมือนขันทีที่ไปยังหอนางโลมเพื่อไปดูนางโลมกัน ?

 

สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ ใบหลิวมิได้ขยับ มิมีลม แล้วความรู้สึกนี้มาจากที่ใดกัน ?

 

“ฝานจือ”

 

“ขอรับท่านหวนกง ! ”

 

สวีเสี่ยวเสียนยกมือขึ้นคำนับ มิว่าเยี่ยงไรจางหวนกงผู้นี้ก็รับปากว่าจะช่วยเรื่องที่เขาแทงโจวเหยียนหวางไปหนึ่งแผล ดังนั้นจะผิดใจกับคนผู้นี้มิได้เด็ดขาด

 

“เชิญท่านหวนกง เชิญท่านฮัว...”

 

สวีเสี่ยวเสียนผายมือออกไป ตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ? มีถ้วยน้ำชาสำหรับรับแขกเพียงหนึ่งใบเท่านั้น

 

ผู้อาวุโสทั้งสองเดินตามสวีเสี่ยวเสียนเข้าไปในศาลาริมน้ำเซียนหยุน จื่อเอ๋อยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสอง นางจ้องมองสำรวจสวีเสี่ยวเสียนที่กำลังต้มชา จากนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มผู้นี้ถือว่ารูปงามอย่างแท้จริง

 

หากเมินเฉยอาการป่วยและท่าทีป่าเถื่อนเมื่อครู่ของเขาไป ถือว่าเขางดงามราวกับภาพแกะสลักเลยทีเดียว

 

เส้นผมสีดำยาวที่สะอาดสะอ้านและเรียบร้อยนั้น เมื่อจับคู่กับชุดสีขาวสะอาดตัวนี้... ดวงตาของจื่อเอ๋อเบิกกว้างเล็กน้อย เหตุใดอาภรณ์ของเขาถึงเปียกปอนเช่นนั้นกัน ?

 

ความรู้สึกสง่างามถูกทำลายลงทันที มันดูตลกอย่างเห็นได้ชัด

 

ทว่าเมื่อมองการต้มน้ำชาที่พลิ้วไหวดั่งสายน้ำนั่นแล้ว ทั้งสงบและสง่างาม...มิสามารถมองคนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ จำต้องให้ความสำคัญกับจิตใจข้างใน

 

“ข้ามาก่อน ! ”

 

“ไม่ ! ข้าเป็นแขกจากแดนไกล ข้าต้องมาก่อน”

 

“ข้าต้องการถามเรื่องบทกวีเท่านั้น ใช้เวลามินาน”

 

“ข้าจะตรวจชีพจรดูอาการป่วยให้เขา ใช้เวลามิมากเช่นกัน ! ”

 

“ตาเฒ่าฮัว เจ้ามีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่ ? ” จางหวนกงถลึงตาใส่เขา หมอเทวดาฮัวเป่าเคราของตนเองพลางเอ่ยว่า “อันใดกัน ? ข้ามิมีเหตุผลแล้วเจ้าจะทำไม ? นี่ตาเฒ่าจาง เจ้าอยากต่อสู้กับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าให้เจ้าชิงลงมือก่อนเลย ! ”

 

สวีเสี่ยวเสียนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน

 

จือรุ่ยเองก็ตะลึงเช่นกัน

 

จื่อเอ๋อตกตะลึงจนนิ่งค้างไปแล้ว

 

นี่มันเรื่องอันใดกัน ?

 

สวีเสี่ยวเสียนวางกาน้ำชาลงแล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “หยุดก่อน ๆ ท่านอาวุโสทั้งสอง หากว่าพวกท่านต้องการต่อสู้กัน ช่วยไปต่อยตีกันด้านนอกได้หรือไม่ ? ข้าเกรงว่าหากพวกท่านต่อสู้กันที่ตรงนี้แล้วเป็นอันใดขึ้นมา ข้าคงจะถูกใส่ร้ายเป็นแน่”

 

จื่อเอ๋อผงะอีกครา มีวิธีการโน้มน้าวคนเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?

 

สมองของคนผู้นี้ เหตุใดถึงแปลกเช่นนี้ ?

 

หลายฝูที่ยังแช่อยู่ในสระได้เอ่ยขึ้นมาว่า “คุณชายขอรับ คุณชาย... ข้าน้อยขึ้นไปได้หรือยังขอรับ ? ในน้ำ...ค่อนข้างหนาว”

 

ให้ตายเถิด !

 

สมองของเจ้านี่ต่างหากที่มีปัญหา สุนัขปีนขึ้นมาแล้ว คาดมิถึงว่าเขาจะยังแช่อยู่ในน้ำ

 

“ลุกขึ้น ๆ ซื้อกระดูกกลับมาด้วยหรือไม่ ? ”

 

หลายฝูลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ เขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเนื่องจากความหนาว “ซื้อกลับมาแล้วขอรับ ซื้อหัวหมูมาหนึ่งหัว”

 

สวีเสี่ยวเสียนจ้องหลายฝูจนตาเขม็ง ข้าให้เจ้าไปซื้อกระดูกชิ้นใหญ่กลับมาสักสองสามชิ้นเพื่อต้มซุป ทว่าเจ้ากลับซื้อหัวหมูกลับมาให้ข้า... เอาเถิด “ไป ๆ ๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นให้นำหัวหมูไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย”

 

“ขอรับ”

 

หลายฝูรีบวิ่งออกไปอย่างเร็วไว เมื่อฉางเหว่ยเห็นดังนั้น จึงคิดว่าหนีไปอยู่กับหลายฝูค่อนข้างปลอดภัยกว่า มันจึงลุกขึ้นและวิ่งตามไปเช่นกัน

 

ในที่สุดความสงบก็กลับคืนมา จื่อเอ๋อค่อนข้างงุนงง ในจวนนี้...เหมือนว่าจะมีเพียงสาวใช้ผู้นี้ที่ถือว่ายังปกติอยู่บ้าง อ่า...สาวใช้ของเขาถือว่างดงามเลยทีเดียว นางในชุดกระโปรงสีเหลืองห่านดูดีเป็นอย่างมาก

 

เพียงแต่ว่าสายตาของสาวใช้ผู้นี้มองไปที่ใดกัน ?

 

จื่อเอ๋อมองตามสายตาของจือรุ่ยไป เห็นผีเสื้อสองตัวท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้

 

ผีเสื้อสีเหลืองหนึ่งตัวและผีเสื้อสีขาวหนึ่งตัว

 

ผีเสื้อสีขาวเกาะอยู่บนหลังผีเสื้อสีเหลือง... ใบหน้าของจื่อเอ๋อจึงแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด นางขบเม้มริมฝีปาก พลางชำเลืองมองจือรุ่ย ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว นางดูด้วยความสนใจมากยิ่งนัก ทั้งยังมิมีท่าทีเขินอายแต่อย่างใด !

 

ทันใดนั้นนางก็เห็นริมฝีปากของจือรุ่ยยกยิ้มขึ้น นี่...นี่มันมีอันใดน่าขันกัน ?

 

สาวใช้ผู้นี้ก็มิปกติเช่นกัน !

 

สวีเสี่ยวเสียนมิได้สนใจท่าทีของจือรุ่ย เขาหันหน้ากลับมามองจางหวนกงและหมอเทวดาฮัว “มิทะเลาะกันต่อแล้วหรือ ? ”

 

“มิทะเลาะแล้ว ! ”

 

“ท่านหวนกงมีธุระอันใดกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

 

ใบหน้าของจางหวนกงฉายรอยยิ้มขึ้นมาในทันใด เขาเหลือบสายตามองหมอเทวดาฮัว และความหมายของสายตาคู่นั้นก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก ดูสิ...สวีเสี่ยวเสียนถามข้าล่ะ !

 

เจ้า...จงหลีกทางเสีย !

 

หมอเทวดาฮัวจ้องจางหวนกงเขม็ง จากนั้นก็จ้องไปที่ศีรษะของสวีเสี่ยวเสียน เหมือนกับจือรุ่ยที่มองผีเสื้อด้วยสายตาหลงใหล

 

จางหวนกงดึงกระดาษสองแผ่นออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางลงเบื้องหน้าของสวีเสี่ยวเสียนอย่างระมัดระวัง

 

“บทกวีทั้งสองนี้ ข้าตะลึงจนคิดว่าเป็นบทประพันธ์ของสวรรค์ ในที่นี้ยังมีจุดที่มิเข้าใจอีกมากโข ฝานจือโปรดช่วยแถลงไขด้วยเถิด”

 

สวีเสี่ยวเสียนจ้องเขม็งไปยังบทกวีทั้งสองแผ่นนั้น นี่มิใช่บทกวีที่ข้าเป็นผู้เขียนหรอกหรือ ?

 

พวกมันน่าจะอยู่ที่ห้องอักษรของเรือนด้านหลังนี่ ?

 

เหตุใดมันถึงไปอยู่ในมือของท่านจางได้กัน ?

 

เขาจ้องมองบทกวีบนกระดาษทั้งสองแผ่น แล้วเงยหน้าเอ่ยถาม “หวนกง ท่านได้กวีสองบทนี้มาจากที่ใดกัน ? ”

 

จางหวนกงชะงักงัน เขารู้สึกว่าคำถามของสวีเสี่ยวเสียนค่อนข้างประหลาดสักเล็กน้อย “มิใช่ว่าเจ้าส่งไปให้จี้เยวี่ยเอ๋อคุณหนูตระกูลจี้หรอกหรือ ? ”

 

สวีเสี่ยวเสียนอ้าปากค้าง ภายในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถาม “...มิใช่ ท่านช้าก่อน เป็นจี้เยวี่ยเอ๋อที่ให้ของสิ่งนี้กับท่านหรือ ? ”

 

“นี่คือสิ่งที่เจ้าส่งไปให้เยวี่ยเอ๋อ มิเช่นนั้นนางจะนำมามอบให้ข้าได้เยี่ยงไรกัน ? ข้าเป็นอาจารย์ของเยวี่ยเอ๋อมิใช่หรือ ? วันนี้เยวี่ยเอ๋อได้มายังเรือนของข้า และขอให้ข้าแปลบทกวีสองบทนี้ให้นางฟัง”

 

“ทันทีที่ข้าได้อ่าน ข้าก็รู้สึกว่าบทกวีทั้งสองบทนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง สอดคล้องกับหอเหวินเฟิง เพียงแต่ในที่นี้มีอีกหลายจุดที่ข้ามิอาจเข้าใจได้เช่นกัน อย่างเช่น...ฝานจือมิเคยไปฉางอันมาก่อน แล้วเจ้ารู้จักคูเมืองเก้าโค้งได้เยี่ยงไรกัน ? ฝานจือมิเคยไปเจียงหนานเช่นกัน เหตุใดจึงฝันถึงเจียงหนานได้กัน ? ”

 

สีหน้าของสวีเสี่ยวเสียนแข็งค้าง ข้ามอบกวีสองบทนี้ให้กับจี้เยวี่ยเอ๋อเมื่อใดกัน ?

 

เขาหันไปมองทางจือรุ่ย จือรุ่ยส่ายหน้าเป็นพัลวันเช่นกัน

 

มิมีทางเป็นหลายฝู เช่นนั้นแท้จริงแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?

 

ใช่ ! คราที่แล้วมีหัวขโมยขึ้นบ้าน มันขโมยจานไก่ฝอยของข้าไป จำต้องเป็นขโมยผู้นั้นที่ขโมยบทกวีนี้ไปด้วยเป็นแน่ !

 

ขโมยผู้นั้นคือจี้เยวี่ยเอ๋อหรอกหรือ ?

 

ขโมยผู้นั้นต้องเป็นจี้เยวี่ยเอ๋อเป็นแน่ !

 

แล้วข้ายังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ? นางมีบิดาเป็นถึงนายอำเภอ มิสามารถแจ้งความเพื่อไก่จานเดียวได้เป็นแน่ !

 

สวีเสี่ยวเสียนเลิกครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ คงต้องหาช่องทางส่วนตัวเพื่อสนทนาเรื่องนี้สักหน่อย อย่างน้อยก็ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนเล็กน้อย

 

“หวนกง หากข้าเอ่ยว่าเคยไปฉางอัน เคยไปเจียงหนาน ทั้งยังเคยทานหน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกมาก่อนในความฝัน... ท่านจะเชื่อหรือไม่ ? ”

 

คำเอ่ยที่ไร้สาระเช่นนี้ จื่อเอ๋อคิดว่าหวนกงย่อมมิเชื่อเป็นแน่

 

จางหวนยังตกอยู่ในอาการงุนงง ทว่า อยู่ ๆ หมอเทวดาฮัวกลับยกสองแขนโบกขึ้นสูง และตะโกนขึ้นมาราวกับเด็กโข่งที่ซุกซน “ข้าเชื่อ ข้าเชื่อ ฝานจือ...ตอนนี้เจ้าเป็นโรคเดินละเมอเพิ่มขึ้นมาเป็นแน่ โรคนี้ค่อนข้างสัมพันธ์กับโรคประสาท เหมาะแก่การค้นคว้าเป็นอย่างมาก ! ”

 

สวีเสี่ยวเสียนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง แต่แล้วก็ได้ยินจางหวนกงตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้าฮัว...เจ้าลองละเมอจากเขตเหลียงอี้แห่งนี้ไปยังฉางอันและเจียงหนานให้ข้าดูเป็นบุญตาสักหน่อยสิ ! ”

 

รีวิวผู้อ่าน