px

เรื่อง : ข้ามีดาวเที่ยมในยุคสามก๊ก (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 14 พึ่งตัวเองได้เท่านั้น!


ตอนที่ 14 พึ่งตัวเองได้เท่านั้น!

 

ณ ที่ว่าการมณฑล เมืองอ้วนเซีย

 

ในห้องโถงใหญ่ ไช่ม่อนั่งอยู่ด้านบนสุด เขาจิบสุราเล็กน้อย คอยฟังสาวงามตรงหน้าพูดคุยเจื้อยแจ้ว

 

"ท่านลุงใหญ่ ว่ากันว่า เล่ากี๋ผู้นั้น ไม่เลือกข้า แต่ต้องการเลือกเยว่อิง มันน่าโมโหจริงๆ ข้าด้อยกว่าพี่เยว่อิงตรงไหนกัน ทำไมเขาถึงต้องดูถูกข้า เขาตาบอดหรืออย่างไร...”

 

หญิงสาวยังคงพูดเป็นต่อยหอย ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงก่ำเนื่องจากความโกรธ นางโยนถ้วยทั้งหมดลงพื้นต่อหน้าไช่ม่อ

 

ไช่ม่อมิได้ตำหนินาง เขายังคงนิ่งเฉย ปล่อยให้นางอาละวาดเพื่อระบายความโกรธ

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เด็กสาวด่าทอจนหมดแรง จึงได้หยุด แล้วหันมาด่าว่าหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ  “เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ไม่เห็นข้าคอแห้งกระหายน้ำหรือ จะให้ข้าหิวน้ำตายใช่ไหม!”

 

หญิงรับใช้ตกใจ รีบรินน้ำถ้วยใหม่แล้วยกมาให้นางหนึ่งถ้วย

 

หญิงสาวลืมเรื่องมารยาท คว้าถ้วยมา แหงนหน้ากรอกน้ำใส่ปากจนเกลี้ยง มีน้ำไหลออกทางมุมปากของนาง ไหลเป็นทางลงไปตามลำคอขาวดั่งหิมะของนาง

 

ในเวลานี้ ไช่ม่อเพิ่งจะเปิดปากถาม  ”ซูเอ๋อ เจ้าบอกว่าคุณชายใหญ่เลือกหวงเยว่อิง แต่ไม่เลือกเจ้า แล้วเขาบอกเหตุผลหรือไม่ ว่าเพราะเหตุใด?”

 

เด็กสาวผู้นี้มีนามว่าไช่ซู เป็นหลานสาวของไช่ม่อ

 

“เขาไม่ได้พูดตรงๆ” ไช่ซูเบ้ปาก “อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่า เขาพูดชมพี่เยว่อิงอ้อมๆ ว่านางช่างอ่อนโยน จิตใจดี มีไหวพริบ”

 

ไช่ม่อพยักหน้า เขายิ้มและพูดว่า  ”คุณชายใหญ่ช่างมีสายตาที่เฉียบคมจริงๆ หญิงสาวตระกูลหวง นางนี้ เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถที่หายาก ส่วนเรื่องนิสัยนี้ ไม่ใช่ว่าลุงใหญ่เตือนเจ้าแล้วหรือ ซูเอ๋อ เจ้าควรเปลี่ยนนิสัยฉุนเฉียวได้แล้ว มิเช่นนั้น คุณชายตระกลูอื่นก็ไม่กล้าเจอเจ้า เพราะพวกเขาต่างพากันหวาดกลัวเจ้าหมด”

 

“ท่านลุงใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร! แม้แต่ท่านก็ยังดูถูกข้า ท่านยังเป็นลุงใหญ่ของข้าจริงๆ หรือไม่!” ไช่ซูเม้มปาก บ่นด้วยความโมโห

 

“ลุงใหญ่ผิดไปแล้ว ซูเอ๋อ อย่าโมโหเลยนะ ไช่ม่อหัวเราะแล้วรีบเข้าไปขอโทษ

 

การแสดงออกของไช่ซูค่อยดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

 

ไช่ม่อกลับไปที่ประเด็นเดิม เขาพูดด้วยสีหน้างุนงงว่า  ”แต่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก แม้ว่าตระกูลหวงจะมีชื่อเสียงพอกันกับตระกูลไช่ของข้า แต่หวงเยว่อิงเป็นเพียงแค่ญาติสายรอง ซูเอ๋อ ตามหลักแล้ว ด้วยฐานะของหวงเยว่อิงนั้น นางด้อยกว่าเจ้าที่เป็นถึงคุณหนูของตระกูลไช่ ดูท่าคุณชายใหญ่ผู้นั้นจะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ก็มิได้โง่แน่นอน เขาควรจะรู้ว่า เมื่อทั้งสองตระกูลแต่งงานกัน ฐานะทางสังคมของตระกูลฝ่ายหญิงนั้นคือตัวเลือกแรก ส่วนความสามารถและนิสัย มันเป็นแค่เรื่องรอง แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่เลือกเจ้ากันเล่า?”

 

หากได้แต่งออกไปครอบครัวที่มีเกียรติ ย่อมทำให้ไช่ซูรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นอีกครั้ง นางฮัมเพลงแล้วพูดว่า  ”ลุงใหญ่พูดถูก ข้าไม่เข้าใจ คุณชายใหญ่แซ่หลิวผู้นี้ ทำไมถึงโง่ได้ขนาดนี้!”

 

ไช่ม่อยืนขึ้นและเดินเข้าไปในห้องโถง ปากก็บ่นพึมพำว่า  ”คุณชายใหญ่เป็นบุตรชายคนโต ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ถ้าเขาไม่ยอมเป็นลูกเขยของตระกูลไช่เรา ในวันข้างหน้าคงไม่ส่งผลดีกับตำแหน่งของตระกูลไช่เราในจิงโจวแน่ๆ”

 

“ท่านลุงใหญ่ ท่านต้องหาวิธีช่วยให้ข้าได้เป็นฮูหยินของเจ้าเมืองมณฑลให้ได้” ไช่ซูตัดสินใจอย่างแน่วแน่

 

ไช่ม่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายิ้มเยาะแล้วพูดว่า ”ซูเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ใครก็ตามที่เล่ากี๋ต้องการจะแต่งงานด้วย เขาจะไม่ได้แต่งเพราะไม่มีใครจะช่วยเขาได้ ลุงใหญ่จะใช้อิทธิพลท่านเจ้าเมืองมณฑล ขอเพียงท่านเจ้าเมืองมณฑลพยักหน้า ตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมืองมณฑลนั้น ในวันข้างหน้าจะต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน”

 

ไช่ซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเปลี่ยนจากหม่นหมองเป็นสดใส

 

ในเวลานี้ ทหารด้านนอกห้องโถงก็รีบเข้ามาส่งหนังสือถึงมือ รายงานว่า  ”รายงานท่านเจ้าเมือง เจ้าเมืองปี่หยาง ซูเจ๋อส่งจดหมายด่วน เกิดเหตุร้ายแรง โดยกล่าวว่าหัวหน้ากลุ่มโจรกบฏโพกผ้าเหลืองจิวฉองได้นำกองโจรกบฏจำนวนสามพันคนมุ่งมาโจมตี ได้โปรดส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือทางปี่หยางโดยเร็ว”

 

ไช่ม่อเหลือบตามอง เขาหยิบม้วนหนังสือผ้าไหมอย่างไม่รีบร้อน แล้วพูดเยาะเย้ยว่า  ”เจ้าเด็กน้อยแซ่ซูผู้เย่อหยิ่งจองหองในห้องประชุมคัดเลือกผู้นี้ ที่คิดอยากได้ตำแหน่งเจ้าเมืองหนานหยางของข้า นี่ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็รีบร้อนมาขอให้ข้าช่วยเหลือซะแล้ว ดูเหมือนว่าฉายาบัณฑิตอัจฉริยะของจิงเซียง ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นเพียงชื่อที่ไร้สาระ”

 

“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าเมืองปี่หยางคนก่อนโดนพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองฆ่าตายทั้งหมด ถ้าลุงใหญ่ไม่ส่งทหารไปช่วย กลัวว่าซูเจ๋อผู้นั้นก็จะตายเช่นกัน ท่านลุงใหญ่จะช่วยหรือไม่เจ้าค่ะ?” ไช่ซูถาม เพราะเริ่มสงสัยและสับสนปนกัน

 

“ก็แค่ไอ้เด็กจนๆ ที่หยิ่งจองหอง มันจะคุ้มค่าทหารม้าของข้าหรือไม่?” ไช่ม่อถามกลับ ด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม 

 

ไช่ซูพยักหน้าเข้าใจ นางรู้สึกเห็นด้วย แล้วพูดขึ้นว่า  ”ที่ใต้เท้าใช่ม่อพูดมาฟังแล้วมีเหตุผล ซูเจ๋อไม่รู้จักเจียมตัว ถ้าเขาไม่หลงตัวเอง ตอนข้าอยู่ที่สำนักศึกษาลู่เหมิน เขามักจะอวดตนอยู่เสมอ คิดข่มตระกูลใหญ่อย่างพวกเราไว้ ในเมื่อเขามีคิดว่าตัวเองมีความสามารถมาก ก็ให้เขาจัดการพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองด้วยตัวเองก็แล้วกัน”

 

เมื่อเสียงของนางเงียบลง ไช่ม่อก็ตะโกนขึ้นว่า  ”เด็กๆ รีบนำคำสั่งของข้าไปส่งให้กับหวงเซ่อ เจ้าเมืองจี๋หยาง ให้เขานำทหารม้าของเขาและพื้นที่ใกล้เคียง แล้วรีบไปที่ปี่หยางเพื่อเป็นกองหนุนให้กับซูเจ๋อ”

 

ไช่ซูตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มดูสับสน พูดว่า  ”ท่านลุงใหญ่ ก็ไหนท่านไม่คิดจะช่วยเจ้าคนแซ่ซูมิใช่หรือ? แล้วเหตุใดท่านถึงสั่งให้คุณชายหวงไปช่วยด้วยเล่า? ซูเอ๋อไม่เข้าใจเลย”

 

“ชูเอ๋อ เจ้ายังเด็กเกินไป”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปากของไช่ม่อ เขาค่อยๆ อธิบายว่า  ”ซูเจ๋อเป็นเจ้าเมืองภายใต้การปกครอง ของข้า เขาส่งคนมาขอความช่วยเหลือ ข้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเขา หากข้าไม่ช่วย ก็จะถูกผู้คนครหาได้ ว่าข้าแก้แค้นส่วนตัว ไอ้เด็กอ่อนหัด คิดจะยืมดาบฆ่าคน ริอาจข่มขู่ข้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของมัน”

 

“แล้ว..เหตุใด ท่านลุงใหญ่ไม่ส่งทหารกองหนุนไปเองเล่า แต่กลับสั่งให้คุณชายหวงไปช่วยแทน?” ไช่ซูก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลอยู่ดี

 

ไช่ม่อยิ้มเยาะแล้วพูดว่า  ”ในการคัดเลือกคราก่อน ซูเจ๋อทำให้หวงเซ่ออับอายขายหน้าอย่างไร? ซูเอ๋อ เจ้าก็เห็นแล้ว เจ้าคิดว่าหวงเซ่อจะช่วยซูเจ๋ออย่างตรงไปตรงมาหรือไม่เล่า?”

 

ไช่ซูอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เข้าใจความหมายของประโยคที่พูด ถึงกับอดที่จะยกนิ้วให้กับไช่ม่อไม่ได้ นางอุทานว่า  ”ท่านลุงใหญ่ช่างน่าทึ่งนัก ย่อมมิอาจมิช่วยซูเจ๋อนั่น และมิจำเป็นต้องหาเหตุมาอ้างที่จะมิช่วย ทั้งยังมิต้องถูกผู้คนครหา แต่เปลี่ยนเป็นหวงเซ่อแทน ท่านลุงใหญ่ทำให้ซูเอ๋อเปิดหูเปิดตาแล้ว ”

 

ไช่ม่อหัวเราะแล้วดื่มสุราจนหมดแก้ว

 

……

 

ทางตะวันออกของเมืองอ้วนเซีย ณ ที่ว่าการอำเภอจี๋หยาง

 

ในตอนเย็น ผู้ส่งสารนำจดหมายที่ส่งมาจากเมืองอ้วนเซีย รีบนำไปที่จี๋หยาง เป็นคำสั่งเร่งด่วนจากไช่ม่อ ส่งถึงหวงเซ่อ

 

หวงเซ่อกวาดตาอ่านผ่านๆ ก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้  ”เป็นอย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าเจ้าเด็กซูเจ๋อไม่รู้จักประมาณกำลังตัวเอง ไปปี่หยางเพื่อไปตายหาที่ชัดๆ ข้ายังคิดว่าเขาจะอยู่ได้อีกสักสองสามเดือน แต่ไม่คิดว่าเขาอีกไม่กี่วันเขาก็จะตายเร็วอย่างนี้ ฮ่าๆ”

 

เสียงหัวเราะของผู้ชนะ ดังก้องอยู่ในห้องโถง

 

หลังจากได้ยินข่าวว่า ซูเจ๋อตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองที่ปี่หยางกำลังจะไปถล่มเมือง เฉินจิ่วก็เจ็บก้นที่ยังไม่หายดี ข่าวนี้ทำให้เขาหัวเราะอย่างสาสมใจ

หลังจากหัวเราะอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เฉินจิ่วก็นึกอะไรได้ เขาจึงถามขึ้นว่า  ”คุณชายขอรับ มันเร็วเกินไปที่เราจะฉลองกันหรือไม่ เมืองอ้วนเซีย ใต้เท้าไช่ผู้นี้ มีคำสั่งให้พวกเรานำกองทัพไปช่วยที่ปี่หยาง พวกเราควรจะทำตามคำสั่งนี้หรือไม่ขอรับ ถ้าเรานำกองหนุนของเราไปช่วยที่ปี่หยาง ไม่เท่ากับว่าเราไปช่วยเจ้าเด็กแซ่ซูนั่นดอกหรือ?”

 

หวงเซ่อหยุดหัวเราะกะทันหัน คิ้วย่นเข้าหากัน บ่นว่า   ”ท่านลุงไช่ก็จริงๆ เลย เขารู้ว่าข้ามีเรื่องผิดใจกับซูเจ๋อ แต่ทำไมเขาถึงให้ข้าไปช่วยคนแซ่ผู้นี้ด้วย นี่ไม่ใช่สร้างปัญหาให้ข้าหรอกหรือ”

 

“แล้วเราควรทำอย่างไรขอรับ ที่สุดแล้ว พวกเราจะช่วยหรือไม่ช่วยดีขอรับ?” เฉินจิ่วมีสีหน้าสับสน

 

หวงเซ่อเดินเข้าไปในห้องโถง มุมปากมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พูดอย่างเยาะเย้ยว่า  ”ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะช่วยหรือจะไม่ช่วย แต่อยู่ที่ช่วยเหมือนไม่ช่วย”

 

“ช่วยเหมือนไม่ช่วย?” ยิ่งทำให้เฉินจิ่วงุนงงมากขึ้นกว่าเดิม

 

……

 

วันที่หก ณ เมืองปี่หยาง

 

ที่กำแพงเมืองด้านประตูทางทิศตะวันออก ซูเจ๋อกำลังสั่งการให้ทหารและชาวเมืองช่วยกันเสริมกำลังเพื่อป้องกันเมือง

 

นับตั้งแต่ผู้คนในเมืองได้ยินว่าเขาจัดการหัวหน้าโจรกบฏโพกผ้าเหลือง และได้สั่งประหารหยางลั่วขุนนางทรยศ ทุกคนต่างปรบมือชื่นชมยินดี ทำให้เขาได้ใจของชาวเมืองปี่หยาง สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมืองและสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวเมืองได้อย่างรวดเร็ว

 

ดังนั้น ชาวเมืองที่เป็นทุกข์จากการตกเป็นเหยื่อของโจรโพกผ้าเหลืองมาช้านานเหล่านี้ ได้มายังกำแพงเมืองด้วยความสมัครใจและเต็มใจ เพื่อช่วยกองทัพซ่อมแซมกำแพงเมือง

 

กองทัพโจรกบฏโพกผ้าเหลืองเคลื่อนทัพออกมากแล้ว ข่าวเรื่องการแก้แค้นนี้แพร่กระจายไปทั่วเมือง บนกำแพงเมือง ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือทหาร ต่างพากันรู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจเท่าใดนัก

 

มีเพียงซูเจ๋อเท่านั้นที่เคี้ยวถั่วปากอ้างอย่างสบายใจ มองดูพระอาทิตย์อัสดงอยู่ไกลๆ ท่าทางเขาดูสงบไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ เลย

 

เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ซูเซี๋ยวเสี่ยวขึ้นไปบนกำแพงเมือง ขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่า  ”คุณชายเจ้าค่ะ ท่านลุงรองส่งข่าวกลับมาว่า กองทัพโจรกบฏโพกผ้าเหลืองอยู่ห่างจากปี่หยางเพียงหนึ่งวันเจ้าค่ะ”

 

“อ่อ”

 

ซูเจ๋อพูดเพียงแค่ “อ่อ” พยักหน้าและกล่าวอย่างเห็นด้วยว่า  ”ท่านลุงรองช่างมีความสามารถจริงๆ ข้าจะให้เขาถ่วงเวลาจิวฉองไว้เจ็ดวัน ดูเหมือนว่าเขาจะทำภารกิจสำเร็จแล้ว” 

 

“เพียงแต่ สามวันแล้วที่กองหนุนของหวงเซ่อออกจากจี๋หยาง ยังเดินทางมาได้ไม่ถึงห้าสิบลี้ ตอนนี้อยู่ห่างจากปี่หยางของพวกเราแค่สามสิบลี้ เกรงว่าชาวเมืองจะถูกพวกโจรกบฏโพกผ้าเหลืองถูกฆ่าหมดแล้ว กำลังเสริมก็ยังมาไม่ถึง” มีอักษรสองตัวเขียนว่ากังวลอยู่บนใบหน้าของซูเซี๋ยวเสี่ยว

 

“เจ้าคิดว่าหวงเซ่อช่างใจกว้างมากเช่นนั้นจริงๆหรือ เขามีใจคิดช่วยเหลือพวกเราอย่างนั้นใช่หรือไม่?”

 

 

ซูเจ๋อหัวเราะเยาะเย้ย “เขาก็แค่กลัวถูกผู้คนครหาว่าพบเจอคนกำลังลำบาก แต่กลับไม่เข้าไปช่วยเหลือ แก้แค้นส่วนตัวไม่เห็นแก่ส่วนรวม เลยต้องจำใจส่งทหารมา แต่ก็จงใจชะลอการเดินทัพเพื่อถ่วงเวลาให้มาช้ากว่ากำหนด มันช้าเกินไป แล้วรอจนกว่าจิวฉองจะฆ่าพวกเราตายหมด นี่คือความตั้งใจที่แท้จริงของคุณชายหวงเซ่อของพวกเรา”

 

 

ซูเซี๋ยวเสี่ยวเข้าใจในทันที นางขมวดคิ้วผูกเป็นปมแล้วถามอย่างกังวลใจว่า”แล้วพวกเราควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ?”

 

“ไม่มีทางเลือกอื่น ศึกครั้งนี้ เราต้องพึ่งตัวเองแล้ว” ถั่วปากอ้าเมล็ดสุดท้ายเข้าปากไป ซูเจ๋อมองไปที่ถนนทางทิศตะวันออกที่อยู่ห่างออกไปไกลนั้น คำพูดของเขาแฝงความนัยบางอย่างไว้ในน้ำเสียง

 

 

รีวิวผู้อ่าน