หมิงฮุ่ยกำหมัดและกระซิบกับนักดาบข้างหลัง เขาไม่ได้โกรธแต่เขาไม่พอใจที่ต้องปล่อยให้เด็กหยามเกียรติของเขา อายุของซาลีนนั้นไม่เข้ากับคำว่า ‘จอมเวทย์’
“ผู้คนในซิกคินย่าพูดเสมอว่าทุกสิ่งซื้อได้ด้วยเงิน จอมเวทย์ซาลีน ข้าอยากจะจ้างเจ้าให้แสดงเวทมนตร์ให้ทุกคนที่นี่ตอนนี้”
“แน่นอน ข้าสามารถไปนครหลวงได้ในพรุ่งนี้และสมัครเป็นทหารรับจ้าง เจ้าส่งคนไปกับข้าก็ได้”
“ทำไมต้องทำขนาดนั้นล่ะ ? จอมเวทย์ซาลีน ทำมันตอนนี้เลย ให้สมกับเป็นท่าน ทำให้เราทั้งหมดเห็นซะทีนี่ บารอนหมิงฮุ่ยเป็นผู้มีเกียรติ เขาจะได้ไม่ลบหลู่ท่าน”
ภรรยาของกักเกอร์พูดตัดบททันที ปากของหมิงฮุ่ยขยับไปมา เขาไม่อาจปฏิเสธคำชมของสาวงามได้ นั่นมันน่าอายมาก
“สองพันเหรียญทองอาจจะยากไปสำหรับบารอนที่ห่างไกลจากบ้าน”
ซาลีนท่าทีเปลี่ยนไป แต่ก็ยินดีอยู่ในใจ
“ข้าให้สามพัน สู้กับนักดาบของข้า สามพันจะเป็นของเจ้าหากชนะได้”
ตอนนี้หมิงฮุ่ยโกรธแล้ว
บรรยากาศบนโต๊ะเริ่มคุกรุ่นขึ้น ซาลีนหรี่ตาลง เขาลืมไปหนึ่งอย่าง จอมเวทย์นั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัว ยกเว้นกับคนบางพวก – พวกที่ห่างไกลที่ไม่ได้เห็นโลกภายนอกมากพอ พวกเขากลัวสุนัขบ้ามากกว่าที่จะกลัวจอมเวทย์
กลัวสุนัขบ้านั้นเข้าใจได้ แต่ไม่กับจอมเวทย์ที่พวกเขาไม่เคยเห็น
ซาลีนมองไปที่นักดาบหลังหมิงฮุ่ย พูดช้าลง
“เจ้าพร้อมจะต่อสู้เพื่อแลกชีวิตกับความตายหรือไม่ ?”
มันไม่มีอารมณ์ในคำพูดของซาลีน นักดาบเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง เขาสาปแช่งเจ้านายของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาเป็นเพียงนักดาบอาวุโสที่อาจจะฆ่าเด็กได้ แต่จอมเวทย์ฝึกหัดกับนักดาบนั้นต่างออกไป หากฆ่าจอมเวทย์ฝึกหัดแล้วอาจารย์ของพวกเขาจะต้องโกรธและมาเอาชีวิตไปมากกว่าหนึ่ง
เขาเป็นหน้าใหม่ที่ไม่รู้ระดับของอาจารย์ซาลีน หากเป็นจอมเวทย์ที่สูงกว่าระดับ 4 นั้นจักรพรรดิคงทำอะไรไม่ได้หากถูกฆ่าโดยจอมเวทย์
เขายังคงเด็ก อนาคตเขาจะมาจบเพราะบารอนได้ยังไง ?
ซาลีนยังคงมองไปที่ดวงตาของนักดาบ ทำให้นักดาบกลัวและสับสน ซาลีนโล่งใจเล็กน้อยที่นักดาบคนนี้ไม่กล้าฆ่าเขา
ซาลีนใจเย็นลง เขามองไปที่หมิงฮุ่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม
“บารอน ข้าพูดว่าสองพันนั้นสำหรับการแสดงเวทมนตร์ หากจะให้ประลองฝีมือ มันต้องมากกว่านี้ ลืมมันไปซะถ้าเจ้าจ่ายไม่ไหว ข้าไม่สนใจเงินไม่กี่พันเหรียญทองหรอก”
การพูดของซาลีนนั้นเหมาะสมกับฐานะของเขา หมิงฮุ่ยกัดฟันแน่นอย่างช่วยไม่ได้
“เช่นนี้ไหม ? เจ้าอาจจะไม่มีเงินมากพอ ใช้แหวนของเจ้าเป็นเดิมพันหากข้าชนะสิ...”
“แน่นอน!”
หมิงฮุ่ยถอดแหวนที่เตะตาออกและวางลงบนโต๊ะ
“นี่จะเป็นของเจ้าหากเจ้าชนะ แต่หากเจ้าบาดเจ็บก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน”
“เริ่มเลยเถอะ”
ซาลีนโบกมือทันที นักดาบข้างหลังหมิงฮุ่ยชักดาบออกมาทันที โต๊ะนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา เขาคงไม่กระโดดเหยียบโต๊ะมาโจมตีซาลีนเพราะนั่นเป็นการเสียมารยาทเกินไป
ซาลีนไม่คิดอย่างนั้น เขาโบกมือและไฟในเตาทองแดงที่กลางโต๊ะก็พุ่งออกมาทันทีจนเกือบถึงเพดาน เปลวไฟสีแดงเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทันทีและลุกโชนอย่างน่ากลัว
ในเวลาเดียวกันนักดาบแสบตาและจมูก เขามองอะไรไม่เห็นและเรียกออร่าดาบออกมาทันที รูปลักษณ์ดาบปรากฏออกมาทันทีเพื่อปกป้องเขา เขาเต็มไปด้วยความกลัวเพราะไม่รู้ว่าเวทมนตร์จะทำอะไรกับเขา
ซาลีนไม่ได้ใช้เวทมนตร์ เขาได้โยน ‘ดวงตาแม่มด’ ไปในเตาไฟและทุกคนนอกเหนือจากเข้าก็สูญเสียการมองเห็นไปชั่วคราว ซาลีนกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอย่างเงียบๆ และใช้คทาเวทย์ตีหัวหมิงฮุ่ยอย่างแรง
ไม่เหมือนกับกักเกอร์ หมิงฮุ่ยนั้นไม่มีวิชาต่อสู้ เขาตะโกนด้วยความตื่นกลัวหลังจากสูญเสียการมองเห็น หัวของเขาถูกตีจนมึนแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซาลีนตีหัวเขาอีกครั้ง
“หยุดนะ อย่าตีข้า อย่าตีข้า ข้ายอมแพ้ แพ้แล้ว แพ้แล้ว!”
หมิงฮุ่ยเพิ่งรู้ตัวว่าเขาถูกตีหัว เขาตะโกนเสียงแหบแห้ง เกือบน้ำตาไหล นี่ไม่ใช่จอมเวทย์แต่เป็นปีศาจชัดๆ ตีหัวข้าทำไมกัน?
ซาลีนหยุดและก้มลงหยิบแหวนของหมิงฮุ่ย เขาเก็บมันไปและดับไฟก่อนที่จะกลับที่นั่ง
หลังจากทุกคนกลับมามองเห็น นักดาบเห็นหัวของหมิงฮุ่ยบวมและมองไปที่ซาลีนอย่างโกรธแค้น
กักเกอร์ไม่รู้จะพูดอะไร ซาลีนเป็นจอมเวทย์ที่มาในนามของเขา หากเขาพูดอะไรออกไป หมิงฮุ่ยก็จะอับอาย
ซาลีนยักไหล่
“หากเจ้านายของเจ้าถูกฆ่าในสงคราม ต่อให้เจ้าฆ่าศัตรูทั้งหมดเพื่อแก้แค้น เจ้าก็ไม่อาจกู้ศักดิ์ศรีของเจ้าได้...ใช่ไหม ?”
นักดาบมองไปยังที่ที่ซาลีนชี้ด้วยเย็นจับขั้วหัวใจ เมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากอะไรซักอย่างที่กลางโต๊ะ ตำแหน่งของหลุมนั้นตรงไปที่หมิงฮุ่ย
เขานั่นระวังเวทย์สาดกรดแต่ไม่ได้กลัว แต่ถ้าหากเจ้านายของเขาโดนกรดและไม่ตาย ชีวิตเขาคงจะพังพินาศ เวทย์ที่เขาโดนเมื่อครู่นั้นทำให้เขามองไม่เห็นไปสามสิบวินาที หากอีกฝั่งเพียงใช้เวทย์ระดับ 1 ออกมา เขาก็อาจจะไม่รอดจากมันได้
เขารู้สึกขอบคุณซาลีน และไม่รู้ว่าซาลีนนั้นยังใช้เวทย์ระดับ 1 ไม่ได้หรือใช้ไฟเผาหัวเขาไม่ได้ ศัตรูที่ตายแล้วนั้นปลอดภัยที่สุด ใครๆ ก็รู้
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
นักดาบก้มหัวลงและเก็บดาบ
“บารานคงไม่ผิดคำพูดใช่ไหม ? สองพันเหรียญทอง”
ซาลีนยื่นมือออกมาอย่างไม่อาย
หมิงฮุ่ยโกรธแค้นจากการเสียหน้าครั้งนี้ เขาหยิบตั๋วเงินธนาคารแคว้นฉินยื่นให้กับสาวใช้ข้างหลัง เมื่อได้รับตั๋วเงินซาลีนก็ดูเป็นมิตรขึ้น เขาหยิบขวดออกมาและเทน้ำข้างในใส่เตาถ่าน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยไปทั้งบ้าน
“ลอร์ดกักเกอร์ ข้าต้องขออภัยสิ่งที่เกิดกับโต๊ะของท่าน”
ซาลีนขอโทษกักเกอร์ขณะที่ถอนผลกระทบจากเวทย์ ‘ดวงตาแม่มด’
กักเกอร์รู้สึกใจสั่น เขารู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่านักดาบของหมิงฮุ่ย หากซาลีนคิดจะฆ่าเขา มันคงจะง่ายเหมือนปอกกล้วย จอมเวทย์นั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง แผนที่เขาวางไว้จะเสี่ยงเกินไปไหมนะ ?
เขาเคยคิดว่ามันไม่มีอันตรายใดๆ หากจะใช้ซาลีนที่เป็นเพียงจอมเวทย์ฝึกหัด แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าแม้จะเป็นจอมเวทย์ฝึกหัดก็สามารถมอบความตายให้แก่เขาได้โดยไม่สนเหตุผลใดๆ
“ท่านซาลีน การได้เห็นเวทมนตร์อันน่าตื่นเต้นนี้ แค่โต๊ะหนึ่งตัวนั้นสบายมาก ไปที่อื่นกันเถอะ”
กักเกอร์ให้ทุกคนลุกขึ้นเขารู้ว่าหมิงฮุ่ยคงทนที่จะอยู่ในบ้านอีกไม่ได้แม้สักนาทีเดียว
หมิงฮุ่ยนั้นเต็มไปด้วยความโกรธและต้องการจะด่าซาลีน กักเกอร์จึงกระซิบกับเขา
“แม้แต่ข้าเอง ก็ควบคุมจอมเวทย์ไม่ได้หรอกนะ”
หมิงฮุ่ยใจเย็นลง เขาอาจจะร่ำราวยแต่ยศของเขานั้นต่ำกว่ากักเกอร์สามขั้น หากกักเกอร์พูดเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาคงจะไม่มีทางแก้แค้นซาลีน
ซาลีนเดินผ่านประตูเมืองด้วยความรู้สึกยินดีพร้อมกับเดินกลับบ้านอย่างสบายๆ ในวันที่ซาลีนเข้าเมืองนั้นเขาไม่ต้องจ่ายภาษีใดๆ เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่จอมเวทย์มีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป
อารมณ์ซาลีนดีขึ้นหลังจากที่ได้จัดการหมิงฮุ่ย เขารู้สึกสนุกกับการที่ได้เปลี่ยนสถานการณ์และคว้าชัยชนะมาได้ จากนี้เขาไม่ใช่ซาลีนคนก่อนอีกแล้ว ชื่อตระกูลเมตาทรินนั้นไม่ได้แสดงถึงความตกต่ำและยากจนอีกต่อไป เขาอยู่เหนือผู้ที่เป็นเจ้าเมือง ทำไมเขาจะไม่พอใจล่ะ ?
แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะเป็นจอมเวทย์เต็มตัว เพราะถ้าหมิงฮุ่ยรู้ว่าเขาเป็นจอมเวทย์ฝึกหัด เขาอาจจะตามมาล้างแค้นซาลีนในตอนที่เขาไม่ได้อยู่ในเมือง
ตอนนี้ซาลีนมีหมื่นเหรียญทอง เขาควรจะเร่งการทำยาสายใยเวทย์ได้แล้ว เพราะเมื่อถึงหน้าหนาวกักเกอร์จะต้องให้เขาไปจัดการกับโจรสลัด
ซาลีนนั้นไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับโจรสลัด บรรพบุรุษของเขานั้นไม่เคยเป็นชาวประมงและเริ่มด้วยการเป็นขุนนาง หลังจากเมื่อเขาเสื่อมยศถาบรรดาศักดิ์ พวกเขาเคยเป็นพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ในตอนเหนือ มันไม่มีความบาดหมางใดๆ ระหว่างซาลีนกับโจรสลัด แต่กักเกอร์ที่ได้พูดถึงการช่วยเหลือลูกเรือและทหารนั้นทำให้เขาเปลี่ยนใจ
เจสันนั้นยุ่งอยู่กับการทดลองและไม่ได้ถามอะไรกับซาลีน ซาลีนใช้หกพันเหรียญทองในการซื้อวัตถุดิบหกชุดเพื่อเตรียมทำยาสายใยเวทย์
เขายังใช้ไฟเวทย์ด้วยตัวเองไม่ได้จึงต้องใช้อุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุในการปรุงยา การทำยาสายใยเวทย์นั้นไปได้ไม่ดีนัก ซาลีนพลาดสี่ครั้งติดต่อกัน มันไม่มีอะไรนอกจากซากวัตถุดิบในที่ผสมยา
สี่พันเหรียญทองสูญเสียไปเช่นนั้นเอง ซาลีนเจ็บใจมาก ยิ่งเขาลงทุนไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งล้มเลิกยากเท่านั้น วันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงกำลังใกล้เข้ามา ซาลีนหวังว่าเขาจะเป็นจอมเวทย์เต็มตัวก่อนถึงงานนั้น
เป็นเช้าอีกวันที่เจสันรีบจัดการอาหารเช้าและเข้าไปในห้องทดลองโดยประตูปิดเงียบ ซาลีนอยู่ในห้องของตัวและถือที่ผสมยาที่เขาใส่ยาไฟเวทย์เข้าไปแต่ไม่ได้จุดมันและนำตราประจำตระกูลออกมาถือไว้ในมือ และปล่อยเวทย์ระดับ 0 เพื่อให้ตราประจำตระกูลดูดพลังเวทย์ของเขา
แต่ละครั้งที่เขาทำแบบนี้ พลังจิตของซาลีนก็เพิ่มขึ้นเมื่อเขาฟื้นตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเข้ากับธาตุได้ไม่ดี เขาคงจะได้เป็นจอมเวทย์เต็มตัวไปนานแล้ว และเขาก็จะไม่ต้องการที่จะทำยาสายใยเวทย์เลย
ตราลึกลับนี้ดูดพลังทั้งหมดในร่างกายซาลีน ซาลีนล้มตัวลงกับพื้นและรอให้ให้ร่างกายฟื้นฟูอย่างเงียบๆ แสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่กลางรอยสายฟ้าบนตรา นำผลด้านลบทั้งหมดให้กับซาลีน ซาลีนไม่รู้สึกถึงสิ่งใดและทบทวนวิธีการทำยาสายใยเวทย์ต่อไป