px

เรื่อง : Badge in Azure
BIA.11 - ยาสายใยเวทย์(2)


เวลานั้นเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกนาทีที่ผ่านพ้นไปยาวนานราวกับหนึ่งวัน ความเจ็บปวดนั้นก็เช่นกัน เมื่อทุกสิ่งมืดลงซาลีนควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง

 

อ๊ากกกกก.......

 

ซาลีนรู้สึกว่าเสียงของเขามันต่างออกไป ความเจ็บปวดไม่ได้หายไปทั้งหมด เขาพยายามขยับมือก่อนและขว้างตราประจำตระกูลอันน่ากลัวออกไป

 

เครื่องมือปีศาจ! เครื่องมือปีศาจ ?

 

ซาลีนคำรามข้างใน ตราบ้านี่ต้องเป็นเครื่องมือปีศาจแน่ๆ เขารู้สึกราวกับถูกดูดกลืนและย่อยสลายในจิตวิญญาณของเขา

 

นี่มันเครื่องมืออะไรกัน ? ในยุคราชวงศ์แรกเมื่อสามพันปีก่อนมนุษย์ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง               มนุษย์ยุคนั้นสามารถบินขึ้นไปในอากาศและจีบปีศาจมาใช้งาน ปีศาจที่ฝึกไม่ได้จะถูกทำเป็นอุปกรณ์เวทย์ อุปกรณ์เวทย์ที่สร้างจากปีศาจที่แข็งแกร่งจะถูกเรียกว่าเครื่องมือปีศาจ แม้ว่าความจริงมันจะถูกใช้เพื่อความบันเทิง และมนุษย์หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สูญเสียพลังไปในหมื่นปีต่อมา

 

อุปกรณ์เวทย์ชนิดนี้จึงกลายเป็นสิ่งมีค่าเมื่อมนุษย์จับปีศาจไม่ได้อีกต่อไป อุปกรณ์เวทย์พวกนี้ที่มีวิญญาณปีศาจอยู่ข้างในจึงถูกเก็บไว้โดยจอมเวทย์ จนถึงสมัยราชวงศ์ที่ 4 มากกว่าพันปีก่อน หากไม่ใช่จอมเวทย์ระดับ 9 ก็จะไม่สามารถใช้วิญญาณปีศาจในเครื่องมือปีศาจได้

 

เครื่องมือปีศาจกลายเป็นคำที่น่ากลัว จอมเวทย์ที่ระดับต่ำกว่า 7 นั้นไม่สามารถจะต้านทานต่อความรุนแรงของเครื่องมือปีศาจได้ ปีศาจที่แข็งแกร่งพวกนี้ไม่ยอมรับใช้มนุษย์แม้จะเหลือเพียงวิญญาณ การกลืนกินผู้ใช้คือลักษณะเฉพาะของเครื่องมือปีศาจ

 

ไม่ใช่แล้ว! ถ้านี่เป็นเครื่องมือปีศาจเขาต้องสูญเสียร่างกายของเขาไปแล้ว ซาลีนสัมผัสมือและขาของเขา พบว่ามันยังปกติและมีเลือดไหลเวียนอยู่ ทั้งหมดเป็นของจริง

 

ในที่สุดซาลีนก็กลับมาใช้ความคิดของเขาอย่างมีสติได้เสียทีจากความหวาดกลัว แต่เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเขาตื่นตระหนกเกินไป หากมันเป็นเครื่องมือปีศาจล่ะก็ แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่อาจรอด แล้วเขาที่เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดจะเหลืออะไร

 

แล้วมันจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่เครื่องมือปีศาจ ? ซาลีนใช้มือของเขาดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งและตรวจสอบสภาพร่างกาย นอกเหนือจากความรู้สึกอ่อนเพลีย ทุกอย่างนั้นปกติดี แม้กระทั่งพลังธาตุอันน้อยนิดของเขาก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

 

หืม...

 

มันน้อยมากจริงๆ แต่ความจริงที่ว่ามันเพิ่มขึ้นมานั้นก็ใช่ ยังไงก็ถามคนแบบซาลีนที่ชื่นชอบการพัฒนาเล็กน้อยของพลังธาตุ เขารู้ว่าแม้พลังธาตุของเขาจะเพิ่มขึ้นมาหนึ่งในสิบส่วน มันก็ทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นมาก พลังจิตของซาลีนนั้นมีมากอยู่แล้ว เจสันยังเคยบอกว่าพลังจิตของเขาเพียงพอต่อใช้งานในฐานะจอมเวทย์เต็มตัว

 

ตอนนี้พลังจิตของซาลีนนั้นบริสุทธิ์และเป็นอันเดียวกันมากขึ้น และมันบอกว่าเขาจะไปต่อได้อีก

 

ซาลีนไม่สนใจความอ่อนแอที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาและคลานไปใต้เตียงเพื่อหยิบตราประจำตระกูลที่เขาขว้าง มันไม่มีอะไรข้างในรอยรูปสายฟ้าอีกแล้ว และแสงสีน้ำเงินอ่อนก็หายไป ซาลีนลองเขย่าตราดูแต่ไม่กล้าที่จะร่ายเวทย์อีก

 

ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนั้นเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวด แม้เขาจะถูกทรมานเมื่อตอนเป็นเด็ก เขาก็ไม่สามารถรับความเจ็บปวดขนาดนี้ได้ การเปลี่ยนแปลงนั้นยากขึ้นเมื่อคุ้นเคยกับบางสิ่ง ความอดทนของเขาลดลงเมื่อเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในปีที่ผ่านๆ มา

 

เขาควรเอาไปให้อาจารย์ของเขาดูดีไหมนะ ? ไม่ล่ะ ถ้าอาจารย์เขาเจอแบบเขา มันคงจะ......

 

ซาลีนหัวเราะเสียงดังเมื่อเขาคิดถึงภาพเจสันที่ล้มลงนอนบนพื้นไม้ รู้สึกอ่อนแอและรับความรู้สึกด้านลบทั้งหมด ลืมมันไปเถอะ เขาต้องการตรวจสอบมันอย่างช้าๆ ตราบเท่าที่เขาไม่ใช้พลังเวทย์กับสิ่งนี้มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร

 

ซาลีนเจอกับความล้มเหลวสามครั้งในเดือนถัดมา ยาเวทย์มูลค่าสามพันเหรียญทองนั้นกลายเป็นขยะ นี่เป็นปัญหาใหญ่ของเขาเพราะผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไม่สอดคล้องกับพลังจิตของเขาที่เขาภูมิใจ มันยากมากที่จะควบคุมการใช้วัตถุดิบในการสร้างยาเวทมนตร์

 

เขาจะทำยังไงกับพลังจิตที่ไม่เพียงพอของเขาดี ? ซาลีนนึกถึงตราประจำตระกูลของเขา เขาหยิบมันขึ้นมาจากกล่องและเขย่ามันเบาๆ เข้ามาเลย! ความเจ็บปวดเท่าไหร่ก็คุ้มค่าหากมันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

 

ครั้งแรกซาลีนให้ความสนใจในรายละเอียดมาขึ้น เขาคิดว่าเขาจะทดลองและลองดูเงื่อนไขเฉพาะของมันที่ทำให้เกิดผลกระทบที่เคยเกิดขึ้นกับเขา

 

เขาวางตราประจำตระกูลลงบนพื้นไม้และปล่อยเวทย์ตรวจจับห่างออกไปจากเขาสามเมตร หมอกแสงปกคลุมตราเหมือนกับคราวที่แล้ว มันถูกขัดขวางเล็กน้อยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นแต่แสงนั้นถูกดูดกลืนไปยังรอยสายฟ้าอย่างรวดเร็ว

 

ผลสุดท้าย ? ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

 

ซาลีนขยับไปใกล้กับตรามากขึ้นอีกหนึ่งเมตรและทดลองอีกครั้ง มันคงยังไม่มีการตอบสนอง ในตอนท้ายเขาใช้ถุงมือและทดดลองมันอีก

 

ในที่สุดซาลีนก็เข้าใจว่าตราประจำตระกูลของเขาปลอดภัยหากไม่สัมผัสกับมันตรงๆ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาหากเขาพกมันไว้ ซาลีนรู้สึกมั่นใจขึ้น ไม่เช่นนั้นมันคงจะต้องอยู่ในกล่องต่อไป

 

ซาลีนเริ่มฝึกด้วยตัวเอง วันอังคารถึงพฤหัสเขาจะใช้พลังของตราทรมานตัวเองและอดทนความเจ็บปวดยี่สิบสี่ชั่วโมง พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามเดือนต่อมาซาลีนก็พัฒนาขั้นต่อไปด้วยพลังจิตของเขา

 

จากทีแรกที่เขามีพลังธาตุในการปล่อยเวทย์ระดับ 0 ห้าอย่าง แต่ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังจิตอย่างระมัดระวังเพื่อปล่อยเวทย์ระดับ 0 เจ็ดอย่าง พลังธาตุของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้นถึงจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 3 แต่ถ้าซาลีนสะสมพลังธาตุไว้ใช้เขาจะแสดงความสามารถของจอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 4 ได้

 

ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ซาลีนยังคงดูผอมและอ่อนแอแต่พลังกายของเขาดีขึ้น และความอดทนต่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุดระยะเวลาในการเสียการควบคุมร่างกายจากตราประจำตระกูลของเขาลดลงเหลือหกชั่วโมง

 

ซาลีนนั้นไม่ต้องอดทนตลอดหกชั่วโมงอีกต่อไป แม้ว่าร่างกายเขาจะขยับไม่ได้ แต่ก็ยังใช้หกชั่วโมงในการคิด นึกถึงหนังสือที่อ่าน และทบทวนความรู้ทางเวทมนตร์

 

หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายมา ซาลีนก็มั่นใจมากขึ้น เขาไม่ได้รู้ตัวด้วยตัวเอง แต่พื้นฐานของเขาเปลี่ยนแปลงไป เขาไม่มีการตอบสนองอันอ่อนแอต่อความกังวล หรือความกลัว เขายิ้มมากขึ้น และเป็นการยิ้มที่ออกมาจากหัวใจของเขา

 

ซาลีนตัดสินใจที่จะฝึกด้วยวิธีนี้ เขาเชื่อว่าตราบที่เขาอดทน เขาจะมีร่างกายที่อดทนต่อผลกระทบจากเวทมนตร์

 

สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือความตั้งใจที่จะเก็บเงินของเขา เขาใช้เวลาที่เหลือในการผลิตยาและขายให้เดคก้า เขาเก็บเงินสามพันเหรียญทองได้ในสามเดือนนี้ และคงไม่ได้เร็วขึ้นกว่านี้เพราะมันมากเกินไปสำหรับเดคก้า แรงซื้อในเมืองซีลอนนั้นมีจำกัด หลังจากเขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้าโจร เขาก็มีเพียงโจรอายุน้อยที่ทำการใหญ่ไม่ได้

 

ยาส่วนเกินนั้นต้องขายในดินแดนอื่น เดคก้าไม่มีกระแสเงินสดมากนักและก็ไม่อาจกล้าจะเป็นหนี้ซาลีน เขาไม่มีอำนาจมากพอจะทำให้กลุ่มโจรจากแดนอื่นจ่ายมัดจำได้

 

ซาลีนรู้ว่าสามพันเหรียญทองนี้ไม่น่าจะพอที่จะผลิตยาสายใยเวทย์ เขากลับมากังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินอีกครั้ง เมื่อถึงสุดสัปดาห์เขาต้องเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของให้เจสันและรับของที่สั่งไว้ในสัปดาห์ก่อน

 

สภาพอากาศในตอนนี้นั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลมแรงลดลงแต่ฝนนั้นตกไม่หยุด เมฆครึ้มลอยอยู่เหนือท่าเรือซีลอน

 

นักดาบสวมชุดสีสดสองคนซ่อนอยู่ใต้ชายคา มองไปในที่ระยะไกล พวกเขาไม่มีชุดเกราะ มีแต่มีดสั้นเหน็บอยู่ที่เอว มีตรารูปใบไม้อยู่บนอกของเขา ตราสัญลักษณ์นี้แสดงให้เห็นว่าเขาทำงานให้กับลอร์ดและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด

 

ความสูงของทั้งสองคนนั้นใกล้เคียงกัน ไหล่กว้าง เอวแบนเรียบ ร่างสูงใหญ่

 

หัวหน้า เด็กนั่นไม่มาหรือ ?นักผมแดงถามอย่างเป็นกังวล เขามองไปที่ฝนที่กำลังตกหนักขึ้น

ไม่หรอกคริส เป็นสามปีมาแล้วที่เขาจะต้องมาเวลานี้ทุกสัปดาห์โดยไม่เกี่ยงฟ้าฝน

 

นักดาบผมทองแตะมีดและมองไปที่ทางเดินหินอย่างอดทนใต้ชายคา ฝนที่พัดมาจากลมนั้นไม่ได้สัมผัสตัวเขา คริส นักดาบผมแดงนั้นทำได้แค่หดตัว เขาคิดกับตัวเองว่าเมื่อไหร่กันที่หัวหน้าของเขาใช้ออร่าดาบได้ ?

 

ทางเดินหินที่ไม่ได้ผ่านการซ่อมแซมมาหลายปีเริ่มที่จะท่วม น้ำฝนตกลงมากระจายเป็นผ่านหมอกบนพื้น ไม่มีผู้คนมากนักในสภาพอากาศแบบนี้ มันเป็นช่วงเกือบใบไม้ผลิและเมืองซีลอนจะหนาวขึ้น

 

ดวงตาของนักดาบผมทองราวกับคบไฟที่เจาะทะลุม่านหมอกที่เกิดจากสายฝนไปยังสุดถนน เด็กผอมแห้งเดินมาอย่างไม่รีบร้อนโดยไม่ถือร่ม เขาใส่ผ้าคลุมตลกๆ และแบกกระเป๋าหนังที่หลัง ฝนที่ตกลงมากระเด็นออกจากร่างกายของเขา แม้กระทั่งรองเท้าของเขาก็สะอาดและแห้งโดยไม่เปียกน้ำฝน

 

เมื่อเด็กหนุ่มค่อยๆ ใกล้เข้ามาใบหน้าของเขาก็ชัดขึ้น ผมและดวงตาของเขาเป็นสีเกาลัดที่จมูกโด่งเล็กหน่อย ดวงตาลึก และดูเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยทางใต้ คิ้วเขาตกราวเพราะไม่ได้ใส่ใจกับสภาพอากาศ มันยังมีถุงหนังเล็กๆ ห้อยลงมาจากนิ้วเรียวยาว

 

มันเป็นถุงหนังใส่เหรียญขนาดปกติ แต่ละถุงนั้นมีเงินห้าสิบเหรียญทองข้างใน เด็กหนุ่มแขวนมันไว้กับนิ้ว แกว่งไปมาตามการเดิน ความปลอดภัยที่ท่าเรือนั้นไม่ดี ถ้าไม่มีฝนกลุ่มโจรอาจจะเล็งเขา

 

จอมเวทย์ซาลีน!” นักดาบผมทองเรียกอย่างอบอุ่นและโบกมือ

 

ซาลีนยกมุมปากขึ้นทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินและเดินต่อไปท่ามกลางสายฝน ชื่อของเขาคือซาลีนแต่ไม่ใช่จอมเวทย์ เขาเป็นแค่จอมเวทย์ฝึกหัดระดับ 3

 

นักดาบรู้สึกอายเล็กน้อย เขาไม่อาจเรียกเขาว่า ผู้ฝึกซาลีน ได้ การทักทายแบบนั้นมันไม่ได้เกียรติเขา เจ้านายของเขาต้องการให้เขาสุภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งมันยากมาก

 

ท่านเมตาทริน!” นักดาบผมทองเรียกอีก แต่อีกฝ่ายนั้นเดินผ่านไปแล้ว เขาเห็นเพียงหลังของซาลีน

 

ซาลีน ซาลีน!” นักดาบผมทองทำได้แค่ตามเขาและเห็นว่าร่างกายของเขาเติบโตขึ้น คริสตามมาอย่างช่วยไม่ได้และวิ่งตากฝน น้ำฝนซึมเข้าไปในชุดของเขาทันที มีเพียงเท้าที่อยู่ในรองเท้าที่มัดไว้แน่นที่แห้ง ฝนนี่มันหนาวจริงๆ ! คริสสั่นด้วยความหนาวเหน็บ

รีวิวผู้อ่าน